เมื่อวันที่ 9 ก.พ.ผู้ประท้วงต่อต้านการรัฐประหารของกองทัพเมียนมารวมตัวกันเป็นวันที่ 4 ท้าทายคำสั่งห้ามการชุมนุมเกิน 5 คน และยกระดับเป็นการประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ สำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานตำรวจใช้กระสุนจริงยิงขึ้นฟ้า 2 ครั้ง และใช้กระสุนยางยิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุมระหว่างการเดินขบวนประท้วงในกรุงเนปิดอว์ หลังจากก่อนหน้านี้มีการใช้ปืนฉีดน้ำเพื่อสลายผู้ประท้วงซึ่งเรียกร้องการคืนอำนาจสู่รัฐบาลพลเรือนและให้ปล่อยตัวนางอองซาน ซูจี รวมทั้งสมาชิกของพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย(เอ็นแอลดี) ที่ถูกคุมขังผู้นำรัฐประหารออกคำสั่งเมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมาห้ามการชุมนุมเกิน 5 คน ในย่างกุ้งซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและศูนย์กลางเศรษฐกิจ เมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 และกรุงเนปิดอว์ และยังกำหนดเคอร์ฟิว ตั้งแต่เวลา 20.00-04.00 น. สำนักข่าวต่างประเทศยังรายงานว่ากองกำลังความมั่นคงได้จับกุมผู้ชุมนุมไปแล้วอย่างน้อย 27 คน ในการประท้วงที่เมืองมัณฑะเลย์ซึ่งในจำนวนนี้มีนักข่าวรวมอยู่ด้วย ทั้งนี้ ยังไม่ชัดเจนว่ามีการบังคับใช้กฎห้ามชุมนุมและเคอร์ฟิวดังกล่าวในพื้นที่อื่นๆหรือไม่พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย หัวหน้าคณะรัฐประหารได้กล่าวสุนทรพจน์เผยแพร่ทางโทรทัศน์เมื่อเย็นวันที่ 8 ก.พ. ยืนยันว่าการยึดอำนาจเป็นสิ่งที่ชอบธรรมเพราะมีการโกงการเลือกตั้ง โดยระบุจะสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงและมีระเบียบวินัยที่ต่างจากยุคก่อนหน้าของการปกครองโดยทหารที่ทำให้เมียนมาต้องโดดเดี่ยวและยากจน จะมีการเลือกตั้งและจะมอบอำนาจให้กับผู้ที่ชนะในการเลือกตั้งตามประชาธิปไตย โดยไม่ให้กรอบเวลา แต่ได้กล่าวว่าภาวะฉุกเฉินจะคงอยู่ไป 1 ปี และยังเตือนว่าไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายแม้ว่าจะไม่ได้ขู่ผู้ประท้วงโดยตรงก็ตามรัฐบาลจากนานาชาติประณามการรัฐประหารอย่างกว้างขวางแม้ว่าจะมีการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมเพียงเล็กน้อยเพื่อกดดันกองทัพเมียนมาก็ตาม นิวซีแลนด์แถลงว่าจะระงับการติดต่อทางการเมืองและการทหารระดับสูงกับเมียนมาทั้งหมดและได้กำหนดห้ามการเดินทางของผู้นำทหารเข้าประเทศ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้เรียกร้องให้ปล่อยตัวนางซูจี และผู้ถูกควบคุมตัวคนอื่นๆ ด้านคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติจะจัดการประชุมวาระพิเศษในวันที่ 12 ก.พ.เพื่อหารือในเรื่องนี้ตามคำขอของอังกฤษและสหภาพยุโรปนางซูจีถูกควบคุมตัวจนถึงวันที่ 15 ก.พ. จากการนำเข้าเครื่องรับส่งวิทยุอย่างผิดกฎหมาย เธอได้รับความนิยมอย่างล้นหลามในเมียนมา แต่เสื่อมเสียชื่อเสียงระดับนานาชาติจากประเด็นชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมโรฮีนจา.