สุจิตรา ดูไร เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย ยังอธิบายแลนด์สเคปของวงการวัคซีนอินเดียไว้ด้วยว่า สถาบันภาครัฐและหน่วยงานกำกับดูแลทำงานร่วมกันกับภาคเอกชนเพื่อให้การสนับสนุนการพัฒนาวัคซีนและการเพิ่มศักยภาพในส่วนของการดำเนินงานภายใต้โครงการ Covid Surakhaรัฐบาลอินเดียจัดสรรงบประมาณกว่า 100 ล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาวัคซีนและการวิจัยในมนุษย์ โครงการชีวเภสัชแห่งชาติ ที่ริเริ่มเมื่อปี 2560 เป็นโครงการร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรมและวิชาการเพื่อเร่งรัดการพัฒนาวัคซีน โดยได้รับเงินสนับสนุน 250 ล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับการสนับสนุนจากธนาคารโลกเพื่อจัดการกับปัญหาด้านการขนส่งวัคซีน และทำให้การจัดส่งวัคซีนมีประสิทธิภาพแม้ในภูมิอากาศและภูมิประเทศที่มีความหลากหลาย รัฐบาลได้ดำเนินการสร้างเครือข่ายจุดห่วงโซ่เย็นที่มีความสลับซับซ้อนกว่า 27,000 จุด (ร้อยละ 97 ตั้งอยู่ในพื้นที่ระดับตำบล) มีบุคลากรด้านสาธารณสุขและเจ้าหน้าที่ห่วงโซ่เย็นที่ผ่านการฝึกอบรม มีระบบบุคลากรสาธารณสุขระดับรากหญ้าที่ออกปฏิบัติการตามบ้านเพื่อบริหารจัดการการฉีดวัคซีนนับตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค. อินเดียได้ส่งมอบวัคซีนโควิด-19 มากกว่า 5.5 ล้านโดสให้กับประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ ภูฏาน มัลดีฟส์ เมียนมา เนปาล บังกลาเทศ ศรีลังกา รวมถึงบาห์เรน มอริเชียส และเซเชลส์ ซึ่งการส่งมอบวัคซีนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวัคซีนไมตรี (Vaccine Maitri)นอกจากนี้ อินเดียยังได้ส่งออกวัคซีนเชิงพาณิชย์ไปยังบราซิลและโมร็อกโก และกำลังดำเนินการจัดส่งวัคซีนให้กับประเทศต่างๆในเอเชีย แอฟริกา อเมริกากลาง และอเมริกาเหนืออีกด้วยอุตสาหกรรมวัคซีนของอินเดียไม่เพียงแต่ทำให้มีวัคซีนใช้เท่านั้น แต่ยังทำให้วัคซีนมีราคาที่ถูกลงอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2556 อินเดียสามารถพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโรตา (Rotavac vaccine) และจำหน่ายในราคาที่ถูกกว่าในราคาตลาดขณะนั้น ราว 1 ต่อ 15 เท่านับตั้งแต่ในอดีตเป็นต้นมา อินเดียยึดมั่นแนวทางในการผลิตยา รวมถึงวัคซีนในราคาที่ซื้อได้และสามารถเข้าถึงได้ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ตามคำประกาศของนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรี “เรามุ่งมั่นที่จะให้วัคซีนของอินเดีย ตลอดจนศักยภาพในด้านการผลิตของเรา ก่อเกิดประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ”.ตุ๊ ปากเกร็ด