โค้งสุดท้ายใกล้ถึง “วันทะเลเดือด” เมื่อพี่น้องประมง 22 จังหวัด ที่ได้รับความเดือดร้อนผลกระทบกรณี “วันทำการประมงหมด สิ้นเดือน ก.พ.2564” ประกาศชักธงยกพลขึ้นบกเคลื่อนไหว “ขอเพิ่มวันจับปลา” เพื่อเป็นการต่อลมหายใจให้อาชีพประมงนี้อยู่รอดอีกครั้งในการกำหนดนี้ก็เป็นไปตามประกาศ “กรมประมง” เรื่องจัดสรรวันทำการประมงพาณิชย์รอบปี 2563 “ฝั่งอ่าวไทย” ทำการประมงได้ 240 วัน ส่วน “ฝั่งอันดามัน” สามารถทำได้ 270 วัน ที่เกิดจากคำนวณ “ปัจจัยเศรษฐกิจ และทรัพยากรน้ำ” ให้เกิดความสมดุลกัน สอดคล้องขีดความสามารถปริมาณผลผลิตสูงสุดของสัตว์น้ำแต่ข้อระเบียบกฎหมายประมงนี้ “ยุคโควิด-19 ระบาด” ส่งผลกระทบกับผู้ประกอบอาชีพประมงโดยตรง ด้วยกล่าวอ้างว่า นับตั้งแต่เดือน ม.ค.2564 วันทำการประมงหลายเครื่องมือหมด “เรือประมง” ก็ทยอยต้องจอดเฉยๆทำให้ไม่มีรายได้ และต้องแบกรับภาระเลี้ยงดูแรงงานที่ไม่สามารถกลับประเทศต้นทางได้เหตุก่อนหน้านี้ “สมาคมประมงแห่งประเทศไทย” จึงได้เสนอความเดือดร้อนต่อ “รัฐบาล” พิจารณาเรื่อง MSY หรือปริมาณสูงสุดสัตว์น้ำที่จะจับใช้ประโยชน์ยั่งยืน แต่ไม่มีความคืบหน้าจนต้องปลุกระดมผ่านโซเชียลขู่นัดบุกทำเนียบต้นเดือน ก.พ.2564 เพื่อทวงถามการเพิ่มวันทำการประมงนี้ มงคล สุขเจริญคณามงคล สุขเจริญคณา ที่ปรึกษาสมาคมประมงแห่งประเทศไทย บอกว่า การจัดสรรใบอนุญาตทำการประมงนี้เป็นไปตาม พ.ร.บ.ประมง 2558 ยึดหลักคำนวณตาม “ค่า MSY หรือการจับสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน” ที่มีคณะกรรมการฯ สำรวจทรัพยากรสัตว์น้ำทั้งหมดแล้วนำมาพิจารณาควบคู่จำนวนเรือประมงพาณิชย์ขออนุญาตไว้ทำให้การจับปลาแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ประมงหน้าดิน ประมงผิวน้ำและประมงกะตัก เช่น เรือประมงอวนลากจับสัตว์น้ำหน้าดิน เรือประมงอวนล้อมจับสัตว์กลางน้ำ ที่กำหนดให้ “ฝั่งอ่าวไทย” ทำประมงหน้าดินรอบปี 2563-2564 จำนวน 240 วัน หรือ 8 เดือนส่วน “ฝั่งอันดามัน” ทำประมง 270 วัน หรือ 9 เดือน ตอนนี้วันทำประมง รอบปีกำลังหมดลงเรื่อยๆ ทำให้ “เรือประมงพาณิชย์ทั่วประเทศ” ทยอยจอดออกจับปลาที่เหลืออยู่ 4 เดือนไม่ได้ ส่งผลต่อการขาดทุน เพราะแบกรับค่าใช้จ่ายแรงงานต่างด้าวในเรือประมงกว่า 6 หมื่นคน ที่ไม่สามารถกลับประเทศต้นทางได้เพราะถ้าหาก “ผู้ประกอบการ” แบกรับภาระไม่ไหวอาจจำเป็นต้องเลิกจ้างก็จะกลายเป็นการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวให้เกิดการมั่วสุมเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด–19 ต่อไปอีก ดังนั้นการแก้ปัญหาเร่งด่วน “รัฐบาล” ต้องมีการเพิ่มวันทำการประมง เพราะในช่วง 6-7 เดือนมานี้ “เรือประมงพาณิชย์” ได้รับจัดสรรทำการประมงแล้วไม่ออกจับปลาไม่ต่ำกว่า 1,000 ลำ ด้วยปัจจัย “ไม่มีทุน หรือไม่มีแรงงาน” ทำให้ปริมาณสัตว์น้ำคงเหลือจำนวนมาก และสามารถนำมาจัดสรรเพิ่มวันให้เรือประมงอีกได้ดังเคยทำมาแล้ว 3 ปีก่อนนี้ คือ ปีแรก...เพิ่มวันจับปลา 40 วัน ปีที่สอง...เพิ่มให้ 24 วัน ปีที่สาม...เพิ่มให้ 30 วัน อีกทั้งต้องการผ่อนผันยกเว้นการควบคุมวันทำการประมงออกไปก่อนอย่างน้อย 2 ปี ในช่วงสถานการณ์ระบาดโควิด-19 นี้ ด้วยการใช้กลไกมติของ “กรมประมง” ออกเป็นประกาศอนุญาตก็ทำได้แล้วด้วยซ้ำเพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนให้พี่น้องชาวประมงทั่วประเทศ ให้สามารถประกอบอาชีพได้อย่างมั่นคงต่อไปในสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ที่เศรษฐกิจกำลังตกต่ำสุดขีดเช่นนี้มิเช่นนั้นจะส่งผลกระทบต่อ “ระบบธุรกิจอาหารทะเลไทยเป็นห่วงโซ่” เพราะถ้าเรือประมงจอดแล้วสินค้าประเภทอาหารทะเลที่จะเข้าสู่ตลาดปลา ตลาดทะเล จ.สมุทรสาคร ที่เป็นศูนย์กลางแหล่งอาหารทะเลของไทย และผลิตด้านอาหารทะเลหลากหลาย อาจต้องได้รับความเสียหายไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท“ต้องยอมรับว่าเรือประมงพาณิชย์เปรียบเสมือนต้นน้ำ เป็นห่วงโซ่ระบบธุรกิจอาหารทะเลไทย ในการขับเคลื่อนส่งเสริมพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศ เมื่อเรือประมงจอดนิ่งย่อมส่งผลกระทบต่อธุรกิจต่อเนื่องอาหารทะเลหมุนเวียนกันไม่ได้ เช่น แม่ค้าพ่อค้าและร้านอาหารไม่มีวัตถุดิบนำไปประกอบอาหารแปรรูปได้” มงคลว่า เมื่อเป็นเช่นนี้... “ประเทศไทย” ก็ต้องมีการพึ่งพา “นำเข้าสินค้าสัตว์น้ำ” จากประเทศเพื่อนบ้านที่ยังคงติด “ใบเหลืองและใบแดง” จากปัญหาการทำประมงตามกฎ IUU เพื่อนำมาต่อการบริโภคในประเทศบางส่วน โดยเฉพาะ “ภาคอุตสาหกรรม” ที่ใช้ดำเนินกิจการผลิตอาหารทะเลแปรรูปเพื่อส่งออกขายต่างประเทศผลตามมาจากการนำเข้านี้ “ภาคเศรษฐกิจในประเทศ” อาจได้รับเม็ดเงินไม่เต็มหน่วย กลายเป็นการส่งเสริมสร้าง “ธุรกิจเม็ดเงินให้ประเทศเพื่อนบ้านทางอ้อม” แต่ถ้ามีการใช้ “วัตถุผลผลิตจากเรือประมงไทย” ที่มักได้รับผลประโยชน์ผู้ประกอบการคนไทยหลากหลายอาชีพโดยตรงตามมาในมุมมอง...“มิติเชิงเศรษฐศาสตร์” ถ้าหาก “เรือประมง 1 ลำออกจับปลา” มักต้องจับจ่ายซื้อข้าวของเครื่องใช้ดำเนินชีวิตในทะเล ตั้งแต่อุปโภค บริโภค น้ำมัน น้ำแข็งแช่ ค่าแรงคนงาน ที่จะทำให้เกิดเม็ดเงินสะพัดหมุนเวียนในประเทศ และเป็นการส่งเสริมให้ธุรกิจระดับล่างได้มีรายได้อีกด้วยปัจจุบันนี้ “เรือประมงทั่วประเทศ” แบ่งเป็นขนาด 10-30 ตันกรอส มีอยู่ 5,000 ลำ เรือขนาด 50-100 ตันกรอส 5,000 ลำ ส่วนที่เหลือเป็นเรือประมงขนาดใหญ่ 100 ตันกรอสขึ้นไป 300 ลำ ส่วนเรือขนาดต่ำกว่า 10 ตันกรอส หรือเรือประมงพื้นบ้านราว 5 หมื่นลำ ในจำนวนนี้สามารถทำประมงในทะเลกว้างใหญ่ไพศาลได้ตลอดปีโดยไม่กระทบต่อปริมาณของสัตว์น้ำที่มีผลผลิตวางไข่อยู่ตลอด เพราะ “ปลา 1 ตัว” สามารถวางไข่ไม่ต่ำกว่าหมื่นฟอง เช่น แม่พันธุ์ปลาทูวางไข่ครั้งละ 30,000-50,000 ฟอง จึงสามารถทำประมงอย่างยั่งยืนได้ ด้วยการอนุญาตให้ “เรือประมง” ที่ได้รับใบอนุญาต “จับสัตว์น้ำ” ตามที่เหลือจากการจัดสรรไว้แต่ไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์นี้ดังนั้นถ้า “รัฐบาล” ผ่อนผันเพิ่มวันจับปลาเป็น 290 วันจากเดิม 240 วัน ย่อมเป็นเรื่องที่ดี “ผู้ประกอบการประมง” ก็ประคองธุรกิจได้ส่งผลให้ “เศรษฐกิจในประเทศ” เกิดการหมุนเวียนในอาชีพเกี่ยวเนื่องกับประมงได้รับประโยชน์ไม่น้อยกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี เพื่อให้อาชีพประมงไทย มีความมั่นคงยั่งยืนสืบไปด้วย ทว่า...“เงื่อนไขตาม พ.ร.ก.ประมง 2558” กำลังบีบให้ “ผู้ประกอบการประมง” ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ในปี 2558 เคยมีเรือประมงพาณิชย์กว่า 4 หมื่นลำ แต่ตอนนี้เหลือ 1 หมื่นลำ เพราะบางคนเจอกับสภาวะขาดทุนต่อเนื่องมา 5-6 ปี จนต้องประกาศขายเรือทิ้งแล้ว อย่างนี้ไม่นานธุรกิจประมงไทยคงล่มสลายลงเร็วๆนี้แน่นอน...ตอกย้ำว่า...“การทำประมงพาณิชย์” จะไม่ส่งผลกระทบ “ฤดูปลาวางไข่” หากมีการประกาศ “ปิดอ่าวไทย” เช่น เขตพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี “เรือประมงพาณิชย์” มักหลีกเลี่ยงไปทำประมงพื้นที่อื่นแทนที่จะไม่เข้าไปจับปลาจุดต้องห้ามนั้น อีกทั้งยังมีระเบียบขยายตาอวนเป็น 4-5 ซม. ป้องกันจับโดนปลาเล็กด้วยยกเว้น “ประมงปลากะตัก” แต่ก็มีระเบียบห้ามเข้าใกล้ชายฝั่งไม่ต่ำกว่า 5.4 กม. หรือ 3 ไมล์ทะเล...ปัญหาที่เกิดขึ้นนับแต่ปี 2550 “เรือประมงบางชนิด” มีการพัฒนาเครื่องมือจับปลา ด้วยการเปลี่ยนอวนลอย กลายเป็นอวนจม ที่เรียกว่า “อวนติดตา” สามารถลากอวนลงถึงหน้าดิน ที่เป็นจังหวะ “ช่วงปลาทูท้อง” กำลังลงไปออกวางไข่หน้าดิน ต้องถูกจับไปก่อนวางไข่ ทำให้ “ตัดวงจรสัตว์น้ำ” เมื่อเปิดหน้าอ่าวแล้วไม่มีปลาทูนั่นเองย้ำว่า... “สิ้นเดือน ก.พ.2564” ยังไม่ขยายเพิ่มวันจับปลา “เรือประมงพาณิชย์” มีใบอนุญาตราว 10,300 ลำทั่วประเทศ ต้องจอดนิ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำให้แบกรับภาระค่าจ้างแรงงานโดยไม่มีรายได้ กลายเป็นปัญหาขาดทุนสะสมแน่นอน ดังนั้นจึงอยากให้ “รัฐบาล” ผ่อนปรนวันทำการประมงจากปีละ 240 วัน เป็น 290 วันก่อนอีกทั้งผ่อนผันยกเว้นการควบคุมวันทำการประมงออกไปก่อนอย่างน้อย 2 ปี จนกว่าเศรษฐกิจจากผลกระทบโรคระบาดจะเริ่มคลี่คลายดีขึ้น เพื่อให้ “ชาวประมง” สามารถต่อสู้กับภาวะวิกฤติโควิด-19 นี้ด้วยกันได้ มิเช่นนั้น “ชาวประมง 22 จังหวัด” คงต้องปักธงเรียกร้องค้างคืนหน้าทำเนียบรัฐบาลแบบไม่มีกำหนดก็ได้นี่อีกหนึ่งเสียงสะท้อนของ “อาชีพประมง” ที่ออกมาขอความเห็นใจจาก “นายกรัฐมนตรี” ในการแก้ไขปัญหาให้คลี่คลาย เพื่อจะได้ต่อลมหายใจโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง...