ตอนที่คณะทหารซึ่งมีนายพลเนวินเป็นผู้นำยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนของอูนุเมื่อ 2 มีนาคม 2505 และจัดตั้งสภาปฏิวัติขึ้นบริหารประเทศสมัยก่อนตอนนั้น การสื่อสารโทรคมนาคมยังไม่แพร่ขยายกระจายไปทั้งโลกเหมือนใน พ.ศ.2564 คนพม่าจึงไม่มีโอกาสแสดงออกให้โลกรับรู้ หรือไม่มีโอกาสแสดงให้รัฐบาลทราบความไม่พอใจของประชาชนจะตามข่าวเมียนมาให้เข้าใจ ต้องรู้ประวัติการต่อสู้กับทหารของประชาชน ขอเริ่มตั้งแต่การต่อต้านรัฐบาลทหารเมื่อมีนาคม 2531 ตอนนั้น ทหารยิงใส่นักศึกษาและประชาชนทำให้มีคนตายหลายร้อยคน ทหารจับประชาชนไปขังหลายพัน แต่ยิ่งปราบ ประชาชนก็ยิ่งออกมาต่อต้าน23 กรกฎาคม 2531 นายพลเนวินต้องประกาศลาออกจาก ตำแหน่งประธานพรรคโครงสร้างสังคมนิยมพม่าซึ่งเป็นพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวที่ถูกกฎหมาย และคุมอำนาจในการบริหารประเทศมาตั้งแต่การปฏิวัติ พ.ศ.2505พลจัตวาเส่งลวินซึ่งเป็นคนสนิทของนายพลเนวินได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานาธิบดีและประธานพรรคฯ ผู้คนยิ่งโกรธแค้น เดือนสิงหาคม 2531 คนเป็นจำนวนหลายล้านทั่วประเทศเดินขบวนเรียกร้องให้ยุติการปกครอง โดยรัฐบาลทหาร ทหารฆ่าพม่าอีกหลายพันคน ตอนนั้น แม้แต่คนที่อยู่ในบ้านก็ยังไม่รอด เพราะรถถังทหารยิงกราดเข้าไปในบ้านของผู้คนโดยไม่เลือกเป้าหมาย ทำให้พลจัตวาเส่งลวินต้องลาออก12 สิงหาคม 2531 ดร.เมาเมา ซึ่งเป็นพลเรือนที่ใกล้ชิดกับนายพลเนวินได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดี ประชาชนก็ยังไม่ยอม เพราะรู้ว่า ดร.เมาเมาเป็นหุ่นเชิดของทหาร รัฐบาลทหารตอนนั้นสัญญากับประชาชนว่าจะให้มีการเลือกตั้งแน่นอน แต่ประชาชนก็ไม่เชื่อกันยายน 2531 พลตรีขิ่นยุ่นได้รับการแต่งตั้งเป็นเบอร์ 1 ของสำนักงานบริการข่าวกรองเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ (DDSI) ขิ่นยุ่นส่งสายลับตำรวจไปปล้น วางเพลิง ก่อการร้าย โจมตีสำนักงานอาหารและเกษตรของสหประชาชาติในกรุงย่างกุ้ง เป้าหมายเพื่อจะให้โลกเห็นว่าสถานการณ์ในพม่าแย่หนัก ไม่ปราบอย่างเข้มข้นไม่ได้ประชาชนคนพม่ารู้ทัน เพราะทหารให้นำเงิน 600 ล้านจั๊ตออกจากธนาคารชาติ ออกมาแจกจ่ายให้ครอบครัวทหารเพื่อกักตุนอาหารไว้ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ สมัยนั้นไม่มีไลน์ ไม่มีเฟซบุ๊ก ไม่มีทวิตเตอร์ แต่ประชาชนก็แอบบอกกันปากต่อปาก เห็นทหารเดินอยู่ที่ไหนก็ช่วยกันลากเข้าไปในซอย แล้วจับตัดหัวทั้งเป็น เหตุการณ์อย่างนี้เกิดบ่อย ทหารตายเพราะหัวขาดจำนวนไม่น้อยกองทัพพิจารณาแล้วว่า ยื้ออำนาจไว้ไม่รอด จึงประกาศล้มรัฐบาลของ ดร.เมาเมา หันมาตั้งสภาฟื้นฟูกฎหมายและความสงบเรียบร้อยของรัฐ (สลอร์ก) โดยให้พลเอกซอว์เมาเป็นประธานบริหารประเทศ สลอร์กสั่งให้ปราบปรามประชาชนอย่างรุนแรงต่อไป ถึงขนาดให้รถถังแล่นทับประชาชนที่ออกมาต่อต้านรัฐบาล ภาพที่คนโดนรถถังทับแบนแต๊ดแต๋ทำให้คนประท้วงหายไปจากถนนจนเกลี้ยง พอถึง พ.ศ.2533 ทหารก็ยอมให้มีพรรคการเมือง แต่ไม่รู้ว่าจะประชุมกันยังไงเพราะดันออกประกาศห้ามชุมนุมกันเกิน 5 คนและสื่อทุกชนิดต้องผ่านการเซ็นเซอร์ก่อนกระทั่งแม่ของนางอองซานซูจีถึงแก่กรรม ประชาชนหลายแสนคนจึงถือโอกาสนี้มาร่วมพิธีศพที่จัดเมื่อ 2 มกราคม 2532 ตั้งแต่สลอร์กปกครองประเทศและปราบปรามประชาชนอย่างรุนแรง คิดว่าการใช้รถถังเหยียบคนจะทำให้ประชาชนเข็ดหลาบจำ ทว่ากลับไม่ใช่ แค่งานศพก็ออกมากันเป็นแสน ภาพคนหลายแสนที่ชุมนุมกันอย่างสงบเรียบร้อยทำให้ทหารประหวั่นพรั่นพรึง มือไม้สั่น ปากสั่นกั้กๆกันทั้งกองทัพหลังจากงานศพแม่นางซูจีก็เป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อนแล้วครับ แกเดินทางไปพบประชาชนในเขตปากน้ำอิรวดี เมืองทวาย และตะนาวศรี ก่อนการมาถึงของนางซูจี ทหารพร้อมอาวุธถูกส่งไปตามหมู่บ้านต่างๆ ห้ามไม่ให้คนออกมาพบหรือมาฟังนางซูจีพูด คนที่ขัดขืน ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของทหารก็ถูกจับไปอีกหลายสิบคนวันนี้มีทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก ไลน์ ฯลฯ ผมไม่รู้ว่าทหารจะปิดกั้นประชาชนเหมือนเดิมได้หรือไม่.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.com