หัวหน้าคณะรัฐประหารพม่า พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ชี้แจงเหตุผลที่ต้องยึดอำนาจ อ้างว่า “ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้” หลังจากที่ขอร้องให้แก้ปัญหาการโกงเลือกตั้ง แต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาล จึงต้องลงมือแต่เป็นการกระทำในกรอบของกฎหมาย คงหมายถึงรัฐธรรมนูญที่ให้ทหาร ยึดอำนาจโดยประกาศภาวะฉุกเฉินเป็น “ข้ออ้าง” ของคณะรัฐประหาร ที่สามารถอ้างเหตุผลอะไรก็ได้ เช่น คณะรัฐประหารไทยรุ่นก่อนๆชอบอ้างความทุกข์ยากของประชาชน จนผู้นำรัฐประหารบางคนต้องหลั่งน้ำตา สงสารประชาชน ในระยะหลังๆคณะรัฐประหารไทยชอบอ้างความขัดแย้ง ความไม่สงบเรียบร้อย จึงอาสาเข้ามารักษาความสงบคณะรัฐประหารบางคณะ สัญญาจะเข้ามาฟื้นฟูความสงบ และขจัดความขัดแย้งในสังคม แต่กลายเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง ไทยกับพม่ามีอะไรหลายอย่างที่เหมือนกัน เช่น ส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา ผู้นำกองทัพยึดแนวทางอำนาจนิยม ส่วนรัฐประหารพม่าเลียนแบบอย่างไทยแน่ เพราะไทยมีรัฐประหารครั้งแรกเมื่อปี 2476แต่ในพม่าเพิ่งเกิดรัฐประหารครั้งแรก เมื่อปี 2505 แต่รัฐบาลเผด็จการพม่าปกครองประเทศยาวนานกว่า 50 ปี จนสหประชาชาติยกให้เป็น “ประเทศด้อยพัฒนาที่สุด” เมื่อปี 2530 ทั้งๆที่พม่าเคยเป็นประเทศที่มั่งคั่งที่สุดประเทศหนึ่งในกลุ่มอาเซียน ไทยเคยมีรัฐประหารมาแล้วอย่างน้อย 13 ครั้ง แต่พม่ามีแค่ 3 ครั้งน่าสงสัยว่าในบางยุคบางสมัย คณะรัฐประหารไทยอาจเลียนแบบอย่างมาจากพม่า เช่น การยึดอำนาจของ “คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ” (รสช.) เมื่อปี 2534 ทำไมจึงตรงกับชื่อรัฐบาลทหารพม่า ที่เรียกว่า “สลอร์ก” ย่อมาจาก state law and order Restoration council คือ สภาหรือคณะฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยแห่งรัฐยิ่งกว่านั้น คณะรัฐประหาร รสช. ยังพยายามสืบทอดอำนาจ ด้วยการตั้งพรรค ชื่อ “พรรคสามัคคีธรรม” ตรงกับชื่อพรรครัฐบาลพม่า แม้แต่ในขณะนี้ พรรคการเมือง ทหารที่แพ้เลือกตั้งยับเยิน และเป็นเหตุของรัฐประหารคราวนี้ ก็ยังคงชื่อ “พรรคสามัคคีและการพัฒนา” น่าสงสัยว่า คณะรัฐประหารไทยขณะนั้น จะเลื่อมใสแบบ อย่างพม่าแต่รัฐประหารพม่าครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ไม่ใช่การยึดอำนาจโค่นล้มรัฐบาลธรรมดา แต่เป็นรัฐประหารที่เกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง ที่ชาวพม่าเลือกพรรคซูจีแบบดินถล่ม รัฐประหารครั้งนี้จึงเป็นการยึดอำนาจประชาชน บดขยี้เจตจำนงของชาวพม่า จึงร้อนถึงสหประชาชาติ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และโจ ไบเดน.