หลายท่านสงสัยว่า ทำไมอินโดนีเซียซึ่งแต่เดิมเป็นประเทศที่มีการเมืองสุดแสนจะวุ่นวายขายปลาช่อน จึงกลายเป็นประเทศที่การเมืองนิ่งและมีพัฒนาการด้านประชาธิปไตยสากลอย่างต่อเนื่องขอตอบว่า เพราะการปฏิรูปการเมืองใหม่เพื่อสร้างประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง ยกเลิกการผูกขาดอำนาจของพรรคการเมืองต่างๆ เดิมประชาชนเลือกผู้แทน ผู้แทนก็ไปเลือกประธานาธิบดี ทำให้ประธานาธิบดีไม่มีความเข้มแข็ง จะเป็นประธานาธิบดีอยู่ได้ ก็ต้องต่อรองอำนาจกับผู้แทนและการเมืองกลุ่มต่างๆจุดพลิกผันของการเมืองอินโดนีเซียก็คือการเปลี่ยนให้มี ‘การเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรง’ ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2547 คนที่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนที่ 6 แต่เป็นคนที่ 1 ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนคนทั้งประเทศคือ ซูซีโล บัมบัง ยุโธโยโน5 ปีในตำแหน่งประธานาธิบดีของยุโธโยโน การเมืองอินโดนีเซียนิ่งจากการที่ไม่ต้องไปต่อรอง การไม่ต้องพะว้าพะวังเรื่องพรรคและนักการเมืองทำให้ยุโธโยโนทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และได้รับการเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 2 ใน พ.ศ.2551ประธานาธิบดีอินโดนีเซียเป็นได้ 2 วาระ คราวนี้ยุโธโยโนไม่ต้องคำนึงถึงการเมืองเลย ไม่ต้องเอาใจใครเพื่อให้มาลงคะแนนให้ตัวเองในครั้งถัดไป ตอนเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 นี่ละครับ ยุโธโยโนเริ่มปฏิรูปกองทัพโดยไม่กลัวทหารที่เสียอำนาจจะมาเล่นงาน แถมแกยังออกกฎหมายที่สนับสนุนการบริหารในระดับภูมิภาคอย่างอิสระก่อนหน้านั้นมีผู้คนใน 2 แห่งของอินโดนีเซียที่อยากจะแยกดินแดน คือ อาเจะห์ และปาปัว ในการเป็นประธานาธิบดีสมัยแรก ยุโธโยโนยังต้องเกรงคะแนนเสียง แต่พอสมัยที่ 2 แกกล้าใช้นโยบายลดความขัดแย้งของกลุ่มที่ต้องการแยกดินแดนทั้ง 2 แห่งจนเหตุการณ์สงบย้อนหลังกลับไปในสมัยการเป็นประธานาธิบดีครั้งที่ 1 ยุโธโยโนยังต้องเกรงใจกลุ่มทุนที่คุมเศรษฐกิจของประเทศ แต่พอชนะเลือกตั้งครั้งที่ 2 ก็ไม่ต้องเกรงใจกันอีกแล้ว แกฟื้นฟูเศรษฐกิจ ปฏิรูปไปสู่เปิดเสรีการตลาด มีการลงนามเปิดการค้าเสรีร่วมกับประเทศต่างๆสมัยที่ 2 ยุโธโยโนไม่ต้องกังวลเรื่องฐานการสนับสนุนแล้ว คราวนี้แกฟันกลุ่มข้าราชการและนักการเมืองที่ทุจริตคอร์รัปชันแบบไม่เลี้ยง ซึ่งปัญหาคอร์รัปชันนี่ละครับที่บั่นทอนเสถียรภาพความมั่นคงและความมั่งคั่งของอินโดนีเซียมาโดยตลอดพอยุโธโยโนทำจริง ประเทศก็เติบโตอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ สามารถลดความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ประชาชน แม้จะเป็นนายทหารนอกราชการ แต่ยุโธโยโนก็มีวิสัยทัศน์ทันสมัย แกปรับปรุงนโยบายด้านเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง จนสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของภูมิภาคได้ก่อนหน้ายุคของยุโธโยโนมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นหลายครั้ง ถ้าผู้อ่านท่านยังจำได้ มีเหตุระเบิดที่บาหลีเมื่อ พ.ศ.2545 ชื่อเสียงของประเทศในเรื่องการก่อการร้ายทำให้ภาพลักษณ์ของอินโดนีเซียแย่มากในสังคมโลก แต่เพราะการทำงานจริงจังของยุโธโยโนทำให้ยังประคองประเทศไปได้ ในยุคของยุโธโยโนมีสึนามิที่ทำให้คนบนเกาะสุมาตราตายไปมากกว่า 1 แสน ต่อมามีเหตุระเบิดที่โรงแรมที่จาการ์ตาใน พ.ศ.2552สมัยที่ 2 ยุโธโยโนทำแผนแม่บทเพื่อการเร่งรัดและขยายการพัฒนาเศรษฐกิจของอินโดนีเซียที่เรียกกันว่า MP3EI เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศโดยมีเป้าหมายชัดเจนที่จะทำให้อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกในอนาคตเมื่อหมดวาระที่ 2 ของการเป็นประธานาธิบดีของยุโธโยโน อินโดนีเซียก็เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นหน้าเห็นหลัง และเมื่อ 9 กรกฎาคม 2557 ก็มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงครั้งที่ 3 คนทั่วไปคิดว่าอดีตนายพลปราโบโว ซูเบียนโต จะชนะเลือกตั้ง แต่ประชาชนคนอินโดนีเซียกลับเลือกนายโจโก วีโดโด อดีตนายกเทศมนตรีเมืองโซโลตะวันออกและผู้ว่าการกรุงจาการ์ตา ด้วยภาพลักษณ์ความเป็นคนธรรมดาและเข้าถึงง่ายถึงตอนนี้วีโดโดกำลังเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2แค่ได้ผู้นำมีวิสัยทัศน์เพียง 2 คน 4 สมัย อินโดนีเซียก็พุ่งกระฉูดส่งตูดจัมโบ้แล้วครับ.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.com