การปิดโรงเรียนเพื่อป้องกันการระบาดส่งผลกระทบต่อการศึกษาของเด็กในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยมีเด็กไม่ต่ำกว่า 325 ล้านคนที่ได้รับผลกระทบเปียร์ก้า ตาปิโอลา เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย และ คาริน ฮัลชอฟ ผอ.ยูนิเซฟเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก อธิบายเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า แม้ประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้ทยอยเปิดการเรียนการสอนอีกครั้งในช่วงปีที่ผ่านมา แต่นั่นก็ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการเรียนรู้ของเด็กๆโดยเฉลี่ยเด็กต้องขาดเรียนเกือบทุกๆ 2 วันที่ฟิลิปปินส์ โรงเรียนปิดตลอดทั้งปี 2563 ทำให้เด็กๆไม่ได้ไปโรงเรียนตลอดทั้งปี ที่อินโดนีเซีย เด็กนักเรียนเกือบทุกคนก็ต้องเผชิญสถานการณ์เดียวกัน ส่วนในมาเลเซีย เมียนมา และไทยกลับมาปิดรอบใหม่หลังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในเดือนที่ผ่านมาการประกาศปิดโรงเรียนได้ชี้ชัดถึงความเหลื่อมล้ำทางด้านดิจิทัล มีเด็กราวๆ 80 ล้านคนที่ไม่สามารถเรียนออนไลน์จากที่บ้านได้ การระบาดครั้งนี้ได้ทำให้ปัญหาการเรียนรู้เลวร้ายยิ่งขึ้น ก่อนวิกฤติโควิด-19 พบว่า 2 ใน 3 ของเด็กนักเรียนประถมปีที่ 5 ในภูมิภาคนี้ ไม่สามารถอ่านหรือคิดเลขได้ตามเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนดไว้ ธนาคารโลกประเมินไว้ว่าจำนวนเด็กที่รู้หนังสือต่ำกว่าเกณฑ์จะเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 20 ในช่วงปิดโรงเรียนยิ่งเด็กหยุดมาโรงเรียนนานเท่าใด ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่เด็กจะไม่กลับมาเรียนอีกเลย ยูเนสโกได้ประมาณการไว้ว่าจะมีเด็กอย่างน้อย 2.7 ล้านคนในภูมิภาคนี้ที่ไม่กลับมาเรียนเมื่อโรงเรียนเปิดอีกครั้ง ทั้งนี้ มีเด็กจำนวน 35 ล้านคนในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกที่ออกจากระบบการศึกษาไปแล้วก่อนหน้านี้และการที่เด็กไม่ได้ไปโรงเรียนยิ่งทำให้เด็กต้องเสี่ยงเผชิญกับความรุนแรง การถูกล่วงละเมิด และการแสวงหาผลประโยชน์ เด็กผู้หญิงต้องเผชิญความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการถูกบังคับให้แต่งงานและการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร แต่เรายังมีโอกาสเอาชนะอุปสรรคในการให้การศึกษาแก่เด็กๆได้ ต้องร่วมกันทำงานหนักขึ้นเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนต่อระบบการศึกษาในภูมิภาคนี้รัฐบาลในประเทศต่างๆควรให้ความสำคัญกับการเปิดโรงเรียนเป็นอันดับแรก เพราะการเปิดโรงเรียนส่งผลดีกว่าการปิดหลายเท่านัก ทั้งนี้ ยูนิเซฟและสหภาพยุโรปขอสนับสนุนให้รัฐบาลให้ความสำคัญ และจัดการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับครูพร้อมกับเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขและประชากรในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงเป็นกลุ่มแรก.ตุ๊ ปากเกร็ด