เมื่อการท่องเที่ยวชุมชนกลายมาเป็นแบรนด์การตลาดสำหรับการท่องเที่ยวที่ต้องการความยั่งยืน สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพังงา (ทกจ.พังงา) นำเสนอชุมชนท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์อันคลาสสิกอย่าง...ตะกั่วป่า เมืองแห่งตำนานเหมืองแร่ และวิถีวัฒนธรรมผสมผสานของทั้งชาวไทย จีน อินเดีย และอาหรับด้วยเพราะเมืองท่าสำหรับการค้าขายและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ที่ปัจจุบันกลายมาเป็นเมืองท่องเที่ยวอีกแห่งของพังงาในยุคปัจจุบัน จากภูเก็ตนั่งรถราวชั่วโมงเศษ เราก็มาถึงตะกั่วป่า พังงา แม้จะถูกมองว่าเป็นเพียงจังหวัดเล็กๆเมื่อเทียบกับเกาะไข่มุกอันดามันอย่างภูเก็ต แต่ที่นี่...ก็มีเสน่ห์ชวนให้ค้นหา ตั้งแต่ย่านเมืองเก่า วัด ศาลเจ้า โรงเรียน หรือแม้แต่อาคารบ้านเรือนที่ยังคงความสวยงาม ผู้คนยังคงอาศัยอยู่จริงๆ เหมือนกับเป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิตเปิดประตูสู่ตะกั่วป่ากันที่ ชุมชนท่องเที่ยวเมืองเก่าตะกั่วป่า เป็นชุมชนที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของวิถีชีวิต วัฒนธรรม และสถาปัตยกรรม ในยุคเหมืองแร่ดีบุกเฟื่องฟู ราวสมัยรัชกาลที่ 7 อาคารบ้านเรือนในย่านนี้ ปลูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมชิโนยูโรเปียน ที่ผสมผสานความเป็นตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ตึกแถวสองชั้นที่มีซุ้มโค้งอยู่เป็นแนว มีสีสันลวดลายประดับอย่างสวยงามแปลกตา เรียงรายเต็มสองฟากถนนศรีตะกั่วป่า สามารถเดินเที่ยวชมได้แบบไม่รู้เบื่อ ระหว่างตึกแต่ละห้อง แทรกด้วยร้านอาหาร ขนมพื้นบ้าน และร้านน้ำชา ที่เชิญให้เข้าไปสัมผัสวัฒนธรรมของผู้คนผ่านการชิม ช็อป และจิบชา ได้อย่างง่ายๆพี่ เพ็ญศรี จิตร์ประสานต์ ประธานชุมชนท่องเที่ยวเมืองเก่าตะกั่วป่า บอกว่า ในช่วงเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงเดือนพฤษภาคม ทุกวันอาทิตย์ เวลา 15.00-19.00 น. จะมีการปิดถนนศรีตะกั่วป่า ให้เป็นถนนคนเดินที่ทั้งคนพื้นถิ่นและนักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินไปกับอาหารพื้นเมืองและขนมพื้นบ้านต่างๆ เหมือนเป็นถนนสายวัฒนธรรมเฉพาะกิจ ประธานชุมชนท่องเที่ยวเมืองเก่าตะกั่วป่า เล่าประวัติศาสตร์ของตะกั่วป่าให้ฟังว่า เมืองเก่าตะกั่วป่า สร้างขึ้นมาตั้งแต่ก่อน พ.ศ.500 เดิมมีชื่อว่า เมืองตกโกล แปลว่า กระวาน ต่อมาแผลงเป็นตะโกลา และกลายเป็น ตะกั่วป่าในอดีตเมืองตะกั่วป่าเจริญรุ่งเรืองมากในยุคเหมืองแร่ สมัยรัชกาลที่ 7 เนื่องจากพื้นที่แห่งนี้มีความอุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยแร่ดีบุก จึงทำให้มีคนจีนอพยพเข้ามาทำงานในเหมืองเป็นจำนวนมาก และเพราะมีชาวจีนอพยพเข้ามามากนี่เอง ทำให้ที่นี่มีศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุด ที่ใครมาถึงตะกั่วป่าแล้ว ไม่ได้แวะไปสักการะ จะถือว่ามาไม่ถึง ศาลเจ้าที่ว่านั้นก็คือ ศาลเจ้าพ่อกวนอู หรือที่คนที่นี่เรียกว่า ศาลเจ้ากู่ใช่ตึ๋ง เป็นศาลเจ้าแห่งแรกของอำเภอตะกั่วป่า ที่เชิญดวงวิญญาณเทพเจ้ามาจากเมืองจีน มีองค์เทพเจ้านาจาเป็นที่เคารพสักการะ ร่วมกับองค์เทพเจ้าอื่นๆ ทุกปีในช่วงเทศกาลกินเจ ที่นี่จะเป็นแหล่งรวมพิธีกรรมและการลงทรงขององค์เทพที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก และเพราะตะกั่วป่าเป็นเมืองที่มีชาวจีนเข้ามาตั้งรกรากและอาศัยอยู่มากตั้งแต่สมัยอดีต ทำให้ผู้คนที่นี่มีเชื้อสายจีน จึงมีการสร้างโรงเรียนสอนภาษาจีนขึ้นชื่อว่า โรงเรียนเต้าหมิง เปิดสอนหนังสือให้แก่เด็กๆและลูกหลานชาวจีนในตะกั่วป่า แต่ปัจจุบันไม่มีการเรียนการสอนแล้ว โรงเรียนได้ปิดตัวลง เหลือไว้เพียงอาคารเก่าโบราณสีเหลืองไข่ไก่...ที่ดูคลาสสิก ใครไปใครมาก็ต้องมาเช็กอิน ถ่ายรูป ติดแฮชแท็กกันที่นี่เช่นเดียวกับที่ สะพานเหล็กบุญสูง หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า สะพานเหล็กโคกขนุน สะพานเก่าโบราณที่สร้างขึ้นด้วยแร่เหล็ก เป็นเส้นทางสัญจรไปมาของชาวบ้านในเขตพื้นที่ใกล้เคียง สะพานเหล็กแห่งนี้ทอดยาวผ่านแม่น้ำตะกั่วป่า 2 ข้างทางเต็มไปด้วยความเขียวขจีของธรรมชาติ ในช่วงเย็นๆ บรรยากาศจะดีมากๆ หรือถ้าเป็นช่วงหลังฝนตก ที่นี่ก็ดูสดชื่น หลังๆมีคู่รักหลายคู่นิยมมาถ่ายพรีเวดดิ้ง...ที่นี่ จนกลายเป็นหนึ่งในมุมไฮไลต์ถ่ายรูปสวยๆ ของเมือง อีกที่...ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวตะกั่วป่า คือ การไปกราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเมือง โดยเฉพาะพระเจดีย์องค์ประธานสีทองอร่ามที่ วัดคงคาภิมุข ส่วนสายอาร์ตที่ชอบงานศิลปะ แนะนำให้ไป วัดเสนานุชรังสรรค์ หนึ่งในวัดสำคัญและเก่าแก่ของเมืองตะกั่วป่า สร้างขึ้นเมื่อราว พ.ศ. 2390 สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่พระยาเสนานุชิต ผู้สำเร็จราชการเมืองตะกั่วป่าในอดีต สถาปัตยกรรมภายในวัดดูยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยรายละเอียดทางงานศิลป์ เป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเช่นเดียวกัน ปิดท้ายกันด้วยวิหารพระธาตุคีรีเขต หนึ่งในแลนด์มาร์กทางประวัติศาสตร์ พระอุโบสถทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ศิลปะแบบรัตนโกสินทร์ตอนต้น ฉาบด้วยปูนขาว เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ถ้ามีเวลาอาจจะไปเดินเล่นชิลๆกันที่ จวนเจ้าเมืองตะกั่วป่า ชมหม้อสตรีมไอน้ำเรือแมรีที่พระยาเสนานุชิตซื้อมาเพื่อใช้ในการนำสินค้าไปขายที่ปีนัง หรือจะแวะไป บ้านขุนอินทร์ บ้านสีเขียวอ่อนทรงชิโนยูโรเปียน ที่ตั้งอยู่ในเมืองเก่า เจ้าของ คือ ร.อ.ท. ขุนอินทรคีรี (ช้อย ณ นคร) ผู้สำเร็จราชการและนายอำเภอของเมืองตะกั่วป่าในอดีต ก่อนกลับแวะกินโรตีร้านดัง ซื้อเต้าส้อร้านอร่อย....ก่อนขับรถกลับบางกอก...แบบไม่ต้องทิ้งร่องรอยไว้ที่ไหน แค่เก็บตะกั่วป่าไว้ในใจและความทรงจำ...ก็พอ...!!!