สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนยังไม่มีบทสรุปที่แน่ชัดว่าจะลงเอยเช่นไร เพราะมีการคาดการณ์กันว่าจะตกลงกันได้ซึ่งต้องจับตามองว่าในการประชุมกลุ่มจี 20 ที่ประเทศญี่ปุ่น ในสัปดาห์หน้า ทั้งสองฝ่ายจะหยิบยกประเด็นนี้มาหารือกันแต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับ “หัวเว่ย” นั้น ข่าวที่ถูกรายงานออกมาดูค่อนข้างหนักกว่าที่คาด ดังที่ “เหริน เจิ้งเฟย” ผู้ก่อตั้งและซีอีโอหัวเว่ย ออกมายอมรับว่ายอดขายสมาร์ทโฟนในตลาดต่างประเทศลดลงถึง 40% และลดการผลิตลงทำให้รายได้ลดลงถึง 3 หมื่นล้านดอลลาร์ฯในขณะที่ตลาดต่างประเทศรวมทั้งประเทศ ไทยได้จับมือกับบรรดาตัวแทนจำหน่ายเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าว่ามีความยินดีที่จะคืนเงินให้หากซื้อสมาร์ทโฟนรุ่นที่กำหนดไว้มีปัญหาการใช้งานแอปพลิเคชันยอดนิยมจากค่ายกูเกิล, ยูทูบ, เฟซบุ๊ก, ไอจี และวอทส์แอพ ภายใน 2 ปีที่กำหนดสำหรับฝั่งสหรัฐฯเองดูเหมือนจะมีการเตรียมตัวว่าจะโดนตอบโต้จากสงครามการค้านี้ ล่าสุดมีรายงานข่าวว่าทาง “แอปเปิล” เตรียมแผน การย้ายฐานผลิตออกจากประเทศจีน 15-30% โดยทางบริษัทฟ็อกซ์คอนน์จากไต้หวันซึ่งเป็นผู้ผลิต “ไอโฟน” ที่มีฐานการผลิตในประเทศจีนถูกระบุว่ามีความพร้อมที่จะย้ายออกจากจีนได้ทุกเวลาจากรายงานข่าวของ Nikkei ชี้ว่า ทางแอปเปิลอาจร้องขอให้ซัพพลายเออร์รายใหญ่ของตนทำการประเมินผลกระทบทางการเงินหากย้ายฐานการผลิตจำนวน 15-30% ออกจากจีนไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะมีความเสี่ยงว่าจะโดนทางการจีนเล่นงานกลับแม้ว่าสถานการณ์ดูเหมือนจะคลี่คลายลงก็ตามNikkei รายงานโดยการอ้างแหล่งข่าวไม่ระบุชื่อว่า ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น และความเสี่ยงจากการรวมศูนย์การผลิตไว้ที่เดียวมากเกินไปเป็นปัจจัยหลัก แม้ว่าจะถูกผลกระทบหรือไม่จากสงครามการค้าในอนาคตก็ตามมีรายงานด้วยว่า มีแรงงานจีนกว่า 5 ล้านคนกำลังเสี่ยงตกงานกับการตัดสินใจครั้งนี้ของ “แอปเปิล” ซึ่งรวมถึงนักพัฒนาแอปพลิเคชัน iOS กว่า 1.8 ล้านคน และพนักงานของแอปเปิลเองอีก 10,000 คน อย่างไร ก็ตาม รายงานดังกล่าวอ้างถึงซัพพลาย-เออร์เชื่อว่าการย้ายออกจากจีนจะใช้เวลานาน และอาจเกิดขึ้นในอนาคตสำหรับเป้าหมายการย้ายฐานผลิตบางส่วนมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลายๆคนคงมองว่าประเทศไทยเราคงจะถูกหวยกับการตัดสินใจของแอปเปิล แต่เคยมีรายงานข่าวมาก่อนหน้านี้ว่าไม่ใช่ประเทศไทยเรา แต่เป็นเวียดนาม ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางแห่งใหม่ของทัพลงทุนทางด้านเทคโนโลยีไม่รู้ว่าประเทศไทยจะมีโอกาสนำเสนอแรงจูงใจการลงทุนเหล่านี้หรือไม่ เพราะลำพังแค่ตั้งจัดรัฐบาลยังใช้เวลานานมาก นับตั้งแต่เลือกตั้งมาตั้งแต่เดือน มี.ค.ที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้เกือบ 4 เดือนแล้วยังตั้งรัฐบาลไม่ได้ แม้ตอนนี้สถานการณ์เริ่มนิ่งก็ตามเห็นแล้วได้แต่ส่ายหน้าอย่างเดียว!!หนุ่มดิจิทัลcybernet@thairath.co.th