ในพระราชบันทึก THE RAINMAKING STORY ที่พระราชทานมาเพื่อให้เกิดความกระจ่างชัดถึงที่มาและจุดเริ่มต้นของ “โครงการฝนหลวง” ทรงบันทึกว่า...จากวันที่ 2-20 พฤศจิกายน 1955 (พ.ศ. 2498) ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยม 15 จังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในวันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์เดลาเฮย์ ซีดานสีเขียว จากจังหวัดนครพนมไปจังหวัดกาฬสินธุ์ผ่านจังหวัดสกลนคร และเทือกเขาภูพานณ ที่นั้นเอง ที่เกิดบทสนทนาสำคัญระหว่างประชาชนกับ “เจ้าชีวิต” ของพวกเขาอย่างใกล้ชิด ปราศจากพิธีรีตอง แต่เปี่ยมด้วยความจงรักภักดี ความห่วงใยและเอื้ออาทรต่อกัน มิอาจมีสิ่งใดมาขวางกั้นได้ ซึ่งสร้างความซาบซึ้งให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นที่ยิ่ง ทรงบันทึกไว้ว่า“เราหยุดโดยไม่ได้นัดหมาย เมื่อเราพบเห็นราษฎรกลุ่มเล็กๆ ข้างทางระหว่างเสด็จฯ ชายคนหนึ่งพูดว่า พวกเขาได้เดินมา 20 กิโลเมตร จากกุฉินารายณ์ เพียงเพื่อมาดูเราขับรถผ่านไป เมื่อเขารู้ว่าเรากำลังจะไปกาฬสินธุ์ เขาจึงบอกให้เราเดินทางต่อไป แม้ว่าเขาอยากจะให้เราอยู่อีกสักพัก เขากล่าวว่าพวกเรายังต้องไปอีกไกลดังนั้น เขาจึงได้มอบอาหารห่อเล็กๆแก่ข้าพเจ้า เมื่อเขาเห็นข้าพเจ้ามองอย่างห่วงใย เขาจึงยืนยันกับข้าพเจ้าว่าเขายังมีอีกห่อหนึ่งสำหรับตัวเขาเอง นี่เป็นความห่วงใยที่แสดงออกอย่างจริงใจ”ณ ทางแยกกุฉินารายณ์และสหัสขันธ์ จุดพักต่อมาในเส้นทางเสด็จพระราชดำเนิน ถือเป็นสถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์อันยาวนานเกือบ 60 ปีของฝนหลวง“เราได้หยุดอย่างเป็นทางการที่ทางแยกกุฉินารายณ์และสหัสขันธ์ ณ ที่นั้น ข้าพเจ้าได้สอบถามราษฎรเกี่ยวกับผลิตผลข้าว ข้าพเจ้าคิดว่าความแห้งแล้งต้องทำลายผลิตผลของพวกเขา แต่ข้าพเจ้าต้องประหลาดใจ เมื่อราษฎรเหล่านั้นกลับรายงานว่า พวกเขาเดือดร้อนเพราะน้ำท่วมสำหรับข้าพเจ้าเป็นการแปลก เพราะพื้นที่แถบนั้นมองดูคล้ายทะเลทราย ซึ่งมีฝุ่นดินฟุ้งกระจายอยู่ทั่วไป แท้จริงแล้วพวกเขาประสบปัญหาทั้งน้ำท่วมและฝนแล้ง นั่นคือว่าทำไมประชาชนในภาคอีสานจึงยากจนนัก”จากนั้นเป็นต้นมา ทรงครุ่นคิดถึงปัญหาที่ดูเหมือนว่าจะแก้ไม่ตกและขัดแย้งกันเองอยู่ในตัว “เมื่อเวลามีน้ำ น้ำก็มากไป ทำให้ท่วมพื้นที่ เมื่อน้ำลด ก็แห้งแล้ง เมื่อฝนตก น้ำจะท่วมบ่าลงมาจากภูเขา เพราะไม่มีสิ่งใดหยุดน้ำเอาไว้”ด้วยพระสติปัญญาอันลึกซึ้ง ทำให้ทรงเกิดประกายความคิดอย่างฉับพลันถึงมาตรการในการแก้ไขปัญหา ณ ขณะนั้น“ต้องสร้างฝายน้ำล้น (Check Dams)” ขนาดเล็กจำนวนมาก ตามลำธารที่ไหลลงมาจากภูเขา เพื่อช่วยชะลอกระแสน้ำให้ค่อยๆ ไหลอย่างสม่ำเสมอ และหากเป็นไปได้ควรสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กไว้หลายๆแห่ง จะช่วยแก้ปัญหาภัยแล้งได้ เพราะในฤดูฝน น้ำที่ถูกเก็บกักไว้ในฝาย เขื่อน และอ่างเก็บน้ำ จะสามารถนำมาให้ราษฎรใช้ได้ในฤดูแล้ง“ยังคงมีอีกปัญหาหนึ่ง คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งภาค เป็นที่รู้กันว่าเป็นภาคที่แห้งแล้ง ขณะนั้นข้าพเจ้าได้แหงนดูท้องฟ้าและเห็นว่ามีเมฆจำนวนมาก แต่เมฆเหล่านั้นถูกลมพัดผ่านไปวิธีแก้ไขจึงอยู่ที่ว่า ทำอย่างไร จึงจะทำให้เมฆเหล่านั้นตกลงมาเป็นฝนในท้องถิ่นนั้น ความคิดนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการทำฝนเทียม”เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับถึงกรุงเทพมหานคร ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯให้หม่อมราชวงศ์เทพฤทธิ์ เทวกุล ซึ่งเป็นวิศวกรและนักประดิษฐ์ควายเหล็กที่มีชื่อเสียงเข้าเฝ้าฯ แล้วพระราชทานแนวความคิดนั้นแก่หม่อมราชวงศ์เทพฤทธิ์ เทวกุล...ซึ่งได้กราบบังคมทูลสัญญาว่าจะศึกษาปัญหาดังกล่าวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงบันทึกว่า...“สองปีต่อมา เขากลับมาพร้อมความคิดเริ่มแรก”พระราชบันทึก The Rainmaking Story ข้างต้นนี้ พระราชทานผ่านกองงานส่วนพระองค์ แก่นายเมธา รัชตะปิติ เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ.2543 เป็นเอกสารที่ทรงพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ด้วยพระองค์เอง“มองโกเลีย” เป็นประเทศล่าสุดที่แสดงความสนใจเทคโนโลยีฝนหลวงของไทย เมื่อปี 2557 ประธานาธิบดีมองโกเลียได้กราบบังคมทูลสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขอรับการสนับสนุนจากไทยจัดอบรมการทำฝนหลวงให้กับเจ้าหน้าที่ของมองโกเลีย และในปี 2560 เอกอัครราชทูตมองโกเลียประจำประเทศไทยได้เข้าพบอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตรเพื่อหารือความร่วมมือพร้อมทั้งแจ้งความประสงค์ที่จะส่งเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานอุตุนิยมวิทยาและการติดตามสภาพแวดล้อมแห่งชาติ นำโดยอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยาฯ มองโกเลีย มาศึกษาดูงานการทำฝนหลวงที่ประเทศไทยหลังเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาทสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี แล้ว คณะของมองโกเลียได้ศึกษาดูงานและสังเกตการณ์ปฏิบัติการฝนหลวง ต่อมาคณะผู้เชี่ยวชาญฝนหลวงของไทย นำโดย ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เดินทางไปหารือกับมองโกเลีย ระหว่างวันที่ 10-15 กันยายน 2561 หลังการประชุมหารือร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยาและติดตามสภาพแวดล้อมแห่งชาติมองโกเลีย และกองทัพอากาศมองโกเลีย ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบที่จะดำเนินโครงการความร่วมมือด้านการดัดแปรสภาพอากาศร่วมกันโดยจัดทำเป็นแผนงานปฏิบัติการร่วม (Joint Action Programme : JAP) ที่เป็นรูปธรรม มีกรอบเวลาและผู้รับผิดชอบแต่ละกิจกรรมชัดเจน เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการร่วมกัน...คาดว่าจะลงนามในแผนปฏิบัติการฯ ได้อย่างช้าที่สุดภายในเดือนมกราคม 2562 และจะเริ่มกิจกรรมร่วมได้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2562 เป็นต้นไปนอกจากนี้ คณะฝนหลวงไทยยังเดินทางไปศึกษาดูงานด้านการเกษตรในเขตอำเภอบัตซุมเบอร์ จังหวัดตุฟ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตอาหารสำคัญของมองโกเลีย พื้นที่รวม 2,500 ตารางกิโลเมตร ส่วนใหญ่เป็นทุ่งหญ้าสเตปป์และป่าไม้ มีประชากรประมาณ 7,100 คน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและปศุสัตว์ เช่น เลี้ยงม้า โค แพะ แกะ ฯลฯ จำนวนประมาณ 70,000 ตัว มีการปลูกพืชผักและผลไม้เป็นบางแห่งที่สวนผลไม้ของบริษัทโปลิเวท ร้อยละ 90 ของพื้นที่ทั้งหมด 300 ไร่ ใช้ปลูกต้นซีบัคธอร์นผลไม้ท้องถิ่นของมองโกเลีย ผลผลิตที่ได้จำหน่ายเป็นผลสดและจำหน่ายให้บริษัทผลิตช็อกโกแลตนำไปสอดไส้ช็อกโกแลต พื้นที่ที่เหลือปลูกแอปเป้ิลและเบอร์รี รวมทั้งเป็นโรงเรือนสำหรับอนุบาลต้นอ่อน นักวิชาการเกษตรประจำสวนให้ข้อมูลว่า เมื่อปี 2560 เกิดภาวะแห้งแล้ง ทำให้ปริมาณผลผลิตตกต่ำ หากมีการทำฝนอย่างต่อเนื่องจะช่วยบรรเทาปัญหานี้ได้ที่ฟาร์มโคนมของนายบัตไซข่าน มีโค 60 ตัว เป็นโคนม 20 ตัว แต่ละตัวให้นมวันละ 8-10 ลิตร ราคาจำหน่ายหน้าฟาร์มลิตรละ 1,000 ทูริค (ประมาณ 13 บาท)เกษตรกรมองโกเลียแสดงความหวังว่าการทำฝนเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำจะช่วยสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมทางการเกษตรในพื้นที่ได้...การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก มีผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศและการผลิตอาหารของมองโกเลีย รัฐบาล “มองโกเลีย” จึงเห็นความสำคัญของการทำ “ฝน” ให้กับพื้นที่เกษตรกรรม ความร่วมมือระหว่างไทยกับมองโกเลีย จะช่วยให้การทำฝนมีประสิทธิภาพมากขึ้นความสำเร็จทั้งหมดเหล่านี้มาจากโครงการ “ฝนหลวง” ไม่ใช่แค่แก้ปัญหาความแห้งแล้งในประเทศไทยเท่านั้น หากยังแผ่ความฉ่ำเย็นชุ่มชื้นไปยังประเทศต่างๆเช่นกัน.