เมื่อเดือนมีนาคม พุทธศักราช 2497 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จฯพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ และพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริโสภาพรรณวดี ประพาสคลองรังสิตเป็นการส่วนพระองค์ และทรงสำราญพระราชอิริยาบถอย่างเรียบง่าย ซึ่งนับเป็นโชคดีของประชาชนชาวไทยที่มีผู้เก็บรักษาภาพอันงดงามนี้ไว้ให้เราได้เห็น “โมเมนต์” น่ารักของครอบครัวพระราชวงศ์ไทย ผู้ทรงวางพระองค์อย่างสามัญยิ่งสยามประเทศนับว่าเป็นดินแดนแห่งน้ำ และเนื่องแต่โบราณกาลมาแล้ว ที่พระเจ้าแผ่นดินต้องทรงเอาพระทัยใส่ในเรื่องน้ำ เพื่อความสงบสุขของประชาชนและราชอาณาจักรโดยส่วนรวม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เช่นกัน พระองค์ทรงตระหนักดีถึงเรื่องน้ำ จึงมีพระราชดำริเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างเป็นระบบและทันสมัย ดังความว่า “สินค้าอันสำคัญของประเทศสยาม ที่จำหน่ายออกไปยังนานาประเทศนั้น ย่อมบังเกิดจากการเพาะปลูก มีข้าวเป็นสินค้าอันใหญ่ แลการเพาะปลูกพืชผลต่างๆที่จะได้เจริญดีนั้น ต้องอาศัยมีน้ำให้บริบูรณ์พอดี เหตุฉะนี้ พระเจ้าแผ่นดินสยามแต่โบราณกาลสืบมาจนบัดนี้ จึงได้ทรงพยายามให้ขุดคลองใหญ่น้อยขึ้นในพระราชอาณาจักรแทบทุกพระองค์ เพื่อไว้พระเกียรติยศว่าได้ทรงทำนุบำรุงชาติบ้านเมืองในรัชกาลของพระองค์ ทั้งนี้ เป็นการส่อให้เห็นได้ว่า การขุดคลอง ซ่อมคลอง แลแก้ไขลำน้ำต่างๆนั้น นับว่าเป็นการบำรุงอันสำคัญสำหรับประเทศมาแต่สมัยโบราณโน้นแล้ว ด้วยตามพื้นภูมิเทศของประเทศสยาม ทางน้ำแลคลองต่างๆนั้นเป็นทางสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นประโยชน์สำหรับทั้งการเพาะปลูกแลการเดินสินค้า ซึ่งเป็นต้นเหตุที่จะให้บ้านเมืองมีความรุ่งเรืองเจริญยิ่งขึ้น การขุดคลองในสมัยโบราณนั้น ใช้การกะเกณฑ์ไพร่พลเมืองขุดจนถึงกรุงเทพฯ มหานครอมรรัตนโกสินทร์นี้ ก็ยังใช้การกะเกณฑ์ขุดคลองอยู่บ้าง ต่อเมื่อในรัชกาลที่ 4 แลปัตยุบันนี้ การขุดคลองต่างๆที่รัฐบาลขุดนั้น จึงใช้วิธีจ้าง”และด้วยเหตุว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชปรารภแก่พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ มาก่อนเกี่ยวกับเรื่องคลองว่า“ในพระราชอาณาจักรเขตสยามนี้ คลองเป็นสิ่งสำคัญ ในปีหนึ่งควรให้ได้มีคลองขึ้นสักสายหนึ่ง จะทำให้บ้านเมืองเจริญ ถึงจะออกพระราชทรัพย์ปีละพันชั่งหรือสองพันชั่ง ก็ไม่เสียดาย”ด้วยเหตุนี้ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์จึงทรงใคร่รับสนองพระ ราโชบาย ทำการสำคัญเพื่อบ้านเมืองด้านชลประทานครั้งใหญ่ และทรงนำพระราชดำรินี้ไปปรึกษากับนายโจอาคิม กราสซี (Joachim Grassi) สถาปนิกชาวอิตาเลียน ซึ่งนายกราสซีเสนอว่าควรจะขุดคลองในเขตภาคกลาง และจัดทำเป็นระบบการชลประทานขนาดใหญ่ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ทรงเห็นชอบกับโครงการนี้ จึงร่วมมือกันออกสำรวจที่ดินบริเวณทุ่งหลวง และในเขตที่ลุ่มแม่น้ำภาคกลาง จัดทำเป็น Scheme of Irrigation in Siam by Joachim Grassi ขึ้น เพื่อนำเสนอต่อรัฐบาลเมื่อคณะของพระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์สำรวจหาพื้นที่ขุดคลองเสร็จสิ้นลงแล้ว พระองค์ทรงนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาฯ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตด้วยพระองค์เอง เพื่อขุดคลองในนาม “กอมปนีขุดคลองแลคูนาสยาม” (Siam Lands, Canal and Irrigation Company) ในการนี้ ทางบริษัทได้รับความช่วยเหลือเรื่องการร่างสัญญาฉบับแรก โดยพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นนเรศร์วรฤทธิ์ คอมมิตตี้นครบาล ทรงปรึกษาตกลงกับพระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ เพื่อทรงเรียบเรียงสัญญาขึ้นทูลเกล้าฯถวายให้ทรงพิจารณา หลังการพิจารณาจากทางรัฐบาลแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ทำสัญญาพระราชทานพระบรมราชานุญาตขุดคลอง เมื่อวันที่ 17 มกราคม พุทธศักราช 2431 โดยโปรดเกล้าฯให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นนเรศร์วรฤทธิ์ และพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงสวัสดิวัฒนวิศิษฎ์ ลงพระนามในฐานะผู้ให้อนุญาต ดังนั้น กอมปนีขุดคลองแลคูนาสยาม จึงได้จดทะเบียนในนาม “บริษัท ขุดคลองแลคูนาสยาม จำกัด”โครงการที่บริษัทได้รับอนุญาตในครั้งแรกนี้ กินขอบเขตพื้นที่กว้างขวางมากกว่าครั้งใดๆที่มีการพระราชทานพระบรมราชานุญาต คือกินอาณาเขตทั้งในทุ่งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา เฉพาะในทุ่งตะวันออก ซึ่งบริษัทขอขุดคลองที่ 1-7 นั้น ครอบคลุมพื้นที่ของทุ่งหลวงทั้งหมดที่ต่อมาเรียกกันว่า “ทุ่งรังสิต” ในขณะที่ทุ่งฝั่งตะวันตกจะครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่เมืองนนทบุรีไปจนถึงเมืองสุพรรณบุรี เรียกว่า “ทุ่งแสนแสบ”หุ้นส่วนแรกตั้งของบริษัทขุดคลอง ได้แก่ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ พระนานาพิธภาษี (ชื่น บุนนาค) ผู้กำลังดำรงตำแหน่งเจ้ากรมพระคลังสินค้า และเป็นดองกับพระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ด้วย เพราะน้องสาวของพระนานาพิธภาษีที่ชื่อถนอม เป็นภรรยาของพระนาวาพลพยุหรักษ์ (ม.ร.ว.พิณ สนิทวงศ์) โอรสองค์หนึ่งของพระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ หุ้นส่วนคนต่อมาคือเจ้าสัวยม มีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงสาทรราชายุตถ์ บุตรเจ้าสัวยิ้ม ผู้ขอขุดคลองภาษีเจริญในรัชกาลที่ 4 ทำการค้าเกี่ยวกับการผูกขาดทำภาษีอากร และหุ้นส่วนคนสำคัญที่สุด คือนายโจอาคิม กราสซี โดยมีสำนักงานของบริษัทขุดคลองตั้งอยู่ในวังของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ ตำบลคลองผดุง ตรงหน้าออฟฟิศรถไฟนครราชสีมา การใช้เครื่องจักรขุดคลอง.เมื่อมีความชัดเจนด้านสัญญาจากทางรัฐบาลแล้ว การลงมือขุดคลองในทุ่งหลวงจึงเริ่มขึ้น โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯพระราชทานชื่อคลองนี้ว่า “คลองรังสฤษดิ์ประยูรศักดิ์” ตามพระนามของพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ ในเจ้าจอมมารดา ม.ร.ว.เนื่อง สนิทวงศ์ พระธิดาในพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ เสด็จไปทรงร่วมในพิธีลงฤกษ์เริ่มขุดคลองถึงในทุ่งหลวงด้วย และด้วยเหตุที่พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์เสด็จบุกป่าฝ่าดงเข้าไปทรงบุกเบิกการขุดคลองด้วยพระองค์เอง ชาวบ้านในทุ่งหลวงได้เห็นกันบ่อยๆ จึงนิยมเรียกคลองสายแรกในทุ่งรังสิตว่า “คลองเจ้าสาย” ภายหลังเมื่อขุดแล้วเสร็จ คลองสายแรกนี้มีความกว้าง 8 วา จึงพากันเรียกว่า “คลองแปดวา”เมื่อบริษัทขุดคลองเริ่มลงมือทำงานนั้น พันตรี ม.ร.ว.สุวพรรณ สนิทวงศ์ โอรสองค์โตของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า ดร.ใหญ่ ได้เข้ามาช่วยพระบิดาดูแลกิจการขุดคลองของบริษัทด้วย โดยได้กราบบังคมทูลลาออกจากราชการ เพื่อมิให้เป็นที่ติฉินของผู้อื่น ว่าเบียดบังเวลาหลวงไปทำงานส่วนตน และภายหลังต่อมาเมื่อการลงทุนเพิ่มมากขึ้น เพราะต้องสั่งเครื่องจักรในการขุดคลองเข้ามาจากยุโรป ห้าง บี.กริม แอนโก โดยนายแอร์วิน มูลเลอร์ หรือคุณหลวงปฏิบัติราชประสงค์ จึงเข้ามาซื้อหุ้น และกลายเป็นผู้ลงทุนรายสำคัญไป การสำรวจหน้าดินเพื่อทำแผนขุดคลอง.ภาพสำคัญทางประวัติศาสตร์ เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จประพาสคลองรังสิต จึงเป็นหลักฐานสำคัญให้ได้เห็นกันว่า พระเจ้าแผ่นดินสยามทุกพระองค์ทรงให้ความสำคัญกับเรื่องน้ำเสมอ เพราะน้ำคือสุขและทุกข์ของประชาชน คือสายเลือดทางเศรษฐกิจของบ้านเมือง และคือความร่มรื่นงดงามแห่งสยามประเทศในวาระแห่งความเศร้าใจของปวงชนทั้งแผ่นดิน ภาพอันงดงามจากวันวาน คือกำลังใจและสติตั้งมั่น ให้ประชาชนสำนึกสุขใจถึงความเรียบง่ายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ยามสำราญพระราชหฤทัยกับสายน้ำ เรือพายพระที่นั่ง และความเป็นไทย และภาพแห่งความประทับใจนี้ย่อมตราตรึงอยู่ในหัวใจคนไทยทั้งชาติตลอดไป(ภาพสำคัญทางประวัติศาสตร์นี้ ได้รับการเก็บรักษาไว้โดยคุณวรพจน์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้เป็นเหลนของ ม.ร.ว. สุวพรรณ สนิทวงศ์-ขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้)โดย : ยุวดี ต้นสกุลรุ่งเรืองทีมงาน นิตยสาร ต่วย'ตูน