วันเวลาเวียนมาครบ 1 ปีแห่งการสวรรคตของ “ในหลวงรัชกาลที่ 9”นับจากวันที่ 13 ตุลาคม 2559 นาทีแห่งความวิปโยค ความเศร้าโศกปกคลุมประเทศไทย ผ่านมา 365 วันอารมณ์ความอาลัยคิดถึง “พ่อ” ในหมู่พสกนิกรก็ยังไม่เสื่อมคลายและยิ่งใจหายเมื่อใกล้ถึงวันพระราชพิธีสำคัญ กับภาพการซ้อมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช วันที่ 26 ตุลาคมถวายพระเกียรติองค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกเป็นครั้งสุดท้ายบรรยากาศแห่งความอาลัยทำให้ทุกอย่างอยู่ในโหมดของความสงบและโดยสถานการณ์ที่วนมาครบรอบ 44 ปีของเหตุการณ์ “14 ตุลา 16” บันทึกประวัติศาสตร์สำคัญที่ทำให้รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ที่ทรงมีต่อแผ่นดินไทยด้วยพระบารมีดับไฟการเมือง ผ่อนคลายวิกฤติประเทศสารพัดเหตุการณ์แตกแยก แต่เพราะ “พ่อ” ทำให้เมืองไทยยังคงดำรงความเป็นรัฐอยู่เยี่ยงทุกวันนี้ตัดฉากกลับมาที่สถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดปรากฏการณ์สำคัญ นับเป็นจุดเปลี่ยนยุทธศาสตร์ของสถานการณ์ภายใต้อำนาจพิเศษกับการ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. พูดชัดถ้อยชัดคำในการแถลงข่าวที่ทำเนียบรัฐบาลภายหลังการประชุมครม.ต่อเนื่องจากการประชุม คสช.เดือนมิถุนายนปี 2561 จะประกาศวันเลือกตั้งและประมาณเดือนพฤศจิกายน 2561 เลือกตั้งย้ำกัน 2-3 ครั้ง ภายหลังช็อตต่อเนื่องจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้ไปแสดงความมั่นใจต่อหน้าประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์”แห่งสหรัฐอเมริกา ยืนยันประเทศไทยจะมีการประกาศเลือกตั้งในปี 2561ยกระดับเป็นพันธกรณีที่รับรู้กันทั่วโลกล็อกเวลาปฏิทิน ลงเดือนลงปีกันเลยตามรูปการณ์ เคลียร์กระแส สยบเสียงวิพากษ์-วิจารณ์ เบรกอาการรุมเค้นคอของนักการเมืองอาชีพที่รีบกดดันให้พล.อ.ประยุทธ์แสดงความชัดเจนตามที่ประกาศไฟเขียวเลือกตั้งไม่ใช่แค่เหลี่ยมสับขาหลอกเหมือนครั้งก่อนที่ประกาศลอยๆและงานนี้ไม่ได้พูดกันเฉยๆ เพราะเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศลงปฏิทินล็อกเดือนปี ประกาศเลือกตั้ง ทั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ต่างออกมารับลูก ประสานเสียงยืนยันพร้อมเร่งกระบวนการจัดทำกฎหมายลูกประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งอีก 2 ฉบับ คือร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และร่าง พ.ร.บ.การได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ให้เสร็จทันตามกำหนดโรดแม็ปแน่นอนถึงตอนนี้สัญญาณไฟเขียวเลือกตั้งชัดขึ้นมาอีกหลายระดับซึ่งนั่นก็กระตุกตลาดหุ้นบวกทะลุ 1,700 จุด รับข่าวดีทันควัน สะท้อนความมั่นใจของนักลงทุนที่ตอบรับกำหนดเลือกตั้งปลายปี 2561และอีกจุดที่น่าจะส่งผลต่อบรรยากาศความสงบเรียบร้อยในห้วงพระราชพิธีสำคัญของประชาชนคนไทย ตามนัยแบบที่พล.อ.ประยุทธ์ดักคอตีกันล่วงหน้า ในเมื่อทุกอย่างชัดเจนแล้วขอให้นักการเมืองสงบ อันจะมีผลต่อการพิจารณาปลดล็อกการเมืองต่อไปนี่ก็ตอบคำถามได้ระดับหนึ่งว่า ทำไม “บิ๊กตู่” ถึงประกาศกำหนดเลือกตั้งอีกทั้งว่ากันตามครรลอง มันก็เป็นไปตามโรดแม็ปที่หัวหน้า คสช.ประกาศยึดถือมาตลอด ตามเงื่อนไขสถานการณ์เมื่อรัฐธรรมนูญ 2560 มีผลบังคับใช้ ขณะที่ราชกิจจานุเบกษาก็ประกาศบังคับใช้ พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 แล้วก็เป็นเรื่องปกติที่ทุกอย่างจะเดินตามความคืบหน้าของกฎหมายเพื่อไปสู่เป้าหมายปลายทางในการคืนอำนาจให้ประชาชนเป็นการแสดงความชัดเจนของผู้นำรัฐบาลทหารคสช.อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ ที่พร้อมคืนประชาธิปไตย “ครึ่งใบ” ให้คนไทยเลือกตั้ง ภายใต้กติการัฐธรรมนูญที่พ่วงด้วยบทเฉพาะกาลคสช.ยังถือดุลความได้เปรียบในการคุมเกมอำนาจช่วงเปลี่ยนผ่านเหลี่ยมนี้ก็มองได้ว่า เป็นจังหวะผ่อนแรงเสียดทาน เปิดทางแชร์อำนาจผ่านเกมเลือกตั้ง หลังจาก คสช. ยึดอำนาจมาย่างเข้าปีที่ 4 และกว่าจะเลือกตั้ง จัดรัฐบาลใหม่ก็ปาไป 5 ปีกว่าเกินเทอมของรัฐบาลในภาวะปกติด้วยซ้ำพล.อ.ประยุทธ์จำเป็นต้องแสดงความชัดเจน ลดแรงต้านรัฐบาล คสช.นี่คือสิ่งที่มองเห็นได้จากภายนอก ตามความเข้าใจของคนทั่วไปแต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ว่ากันตามเหตุปัจจัยมันก็ยังคงมีเครื่องหมายคำถามอยู่ดี กับการที่ผู้นำรัฐบาล คสช.ประกาศในสิ่งที่ถือเป็นพันธกรณีที่สำคัญให้ได้ยินกันทั้งในเมืองไทยและทั่วโลกกระตุ้นจุดพลิกผันยุทธศาสตร์ทางอำนาจตามกระแสเบื้องหลัง แม้แต่คนในรัฐบาลด้วยกันก็ยังออกอาการงงๆ ไม่เข้าใจในยุทธศาสตร์ที่หัวหน้าทีม คสช.รีบออกมาประกาศกำหนดเลือกตั้งล่วงหน้าชิงมัดคอตัวเองตั้งแต่หัววันทั้งๆที่โดยเงื่อนไขสถานการณ์แวดล้อมก็ไม่ได้บีบคั้นอะไร ภายหลัง “นายกฯลุงตู่” ประสบความสำเร็จในการไปเยือน “เพื่อนแท้” อย่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประทับสถานะการยอมรับในเวทีนานาชาติ ลดโทนแรงเสียดทานจากนอกประเทศส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่กำลังโงหัว ทั้งภาพรวมการส่งออกและจีดีพีที่เติบโตตามเป้าขณะที่การกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าก็ทำได้ตรงจุดจากการอัดฉีดมาตรการช่วยเหลือคนจนผู้มีรายได้น้อย ประชาชนเข้าแถวรอรูดบัตรคนจนซื้อของในโครงการธงฟ้าประชารัฐทุกอย่างกำลังเข้าเหลี่ยม “ลุงตู่” ดึงจังหวะปั่นเนื้องาน สะสมแต้มไปได้อีกระยะเอื้อประโยชน์กับโอกาสในการเบิ้ลเก้าอี้ผู้นำอีกรอบแต่เมื่อประกาศกำหนดเลือกตั้งชัดๆ มันเท่ากับเร่งเกมกดดันตัวเอง ต้องรีบคิด รีบตัดสินใจในกระบวนการอำนาจขั้นต่อไป ที่ไม่ว่าจะเป็นสถานะนายกรัฐมนตรี “คนนอก” หรือ “คนใน”“บิ๊กตู่” จำเป็นต้องมีพรรคการเมืองเป็นฐานส่วนตัวเพื่อประกันความชัวร์ถึงตรงนี้ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน หัวหน้าคสช.ก็รีบประกาศมัดคอตัวเองแต่หัววันมันก็เหมือนทำปืนลั่นใส่เท้าตัวเองเรื่องของเรื่อง มีการโยงกับเหลี่ยมของ “ซือแป๋” นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ที่ส่งสัญญาณนำร่องทันทีหลังกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองมีผลบังคับ ชี้เลยว่า รัฐบาล คสช.น่าจะปรับโหมดล็อกการเมืองภายในเวลาอันใกล้จังหวะเหมือนรีบเข็นกฎหมายพรรคการเมืองออกมาบีบคอ “นายกฯลุงตู่”ดูกันตามเนื้อผ้า เสมือนว่าเป้าหมายของ “ซือแป๋” มีชัย อยู่ที่เชิงกฎหมาย เน้นการสร้างประวัติศาสตร์ในการเขียนกติกาประเทศไทยสำเร็จเป็นผลงานอวดลูกหลานแต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ทางการเมืองของ คสช.แบบที่เห็นอาการขวางลำของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ในฐานะเบอร์หนึ่งด้านความมั่นคง ที่ออกมาบอกปัดการปลดล็อกพรรคการเมืองย้ำเป็นเรื่องที่ต้องผูกโยงกับเงื่อนสถานการณ์ด้านความมั่นคงตามรูปการณ์แม่น้ำ 4 สายไหลมาถึงปลายโรดแม็ป เริ่มแตกไปคนละทิศคนละทาง ตามเป้าหมายของแต่ละขั้วอำนาจที่แฝงอยู่ในขุมข่าย คสช.ที่แน่ๆแม้ “บิ๊กตู่” ประกาศกำหนดเลือกตั้งชัด แต่จับกระแสของนักการเมืองก็ยังไม่ชัวร์เพราะมันยังต้องขึ้นอยู่กับสารพัดปัจจัยพลิกผัน สถานการณ์บ้านเมืองที่ยังเกิดอุบัติเหตุได้ตลอดเวลาขนาดร่างรัฐธรรมนูญฉบับ “นางฟ้า” ของนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ ยังถูกคว่ำแค่ชั่วข้ามคืน แล้วนับประสาอะไรกับกฎหมายลูกที่ระดับสำคัญน้อยกว่าเสี่ยงพลิกคว่ำพลิกหงายได้ทุกจังหวะแต่ทั้งหมดทั้งปวง ในเมื่อกำหนดเลือกตั้งปลายปี 2561 เป็นสัญญาประชาคมที่ได้ยินกันไปทั่วโลก อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์เองก็โดนดักคอกรณีที่พูดลอยๆ มาแล้วหลายครั้งมันเป็นเครดิตที่มัดคอ ยากที่กลืนน้ำลายเอาเป็นว่า ถ้าผิดไปจากนี้ กำหนดการเลือกตั้งถูกเปลี่ยนไปไม่ว่ากรณีใดๆนั่นหมายถึงผู้นำคงไม่ใช่ชื่อ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อีกแล้ว.“ทีมการเมือง”