วิกฤติมนุษยธรรม–ผู้ลี้ภัยชาวมุสลิมโรฮีนจาข้ามแม่น้ำนาฟเข้าสู่บังกลาเทศ ขณะที่บังกลาเทศมีแผนสร้างค่ายผู้ลี้ภัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกรองรับชาวโรฮีนจากว่า 8 แสนคน ส่วนนางอองซาน ซูจี ผู้นำโดยพฤตินัยของเมียนมา (รูปเล็ก) ปฏิเสธว่าเมียนมาไม่ได้กำจัดชาติพันธุ์หรือฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮีนจา (เอเอฟพี/รอยเตอร์)กรณีชาวมุสลิม “โรฮีนจา” ในรัฐยะไข่ ถูกกองทัพเมียนมากวาดล้างจนแห่ลี้ภัยเข้าบังกลาเทศรอบใหม่แล้วกว่า 52,000 คน ยังมีข้อถกเถียงไม่จบว่าร้ายแรงเข้าข่าย “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” (Genocide) หรือแค่ “กำจัดชาติพันธุ์” (Ethnic Cleansing)วิกฤตการณ์ครั้งนี้ปะทุขึ้นหลัง “กองทัพปลดปล่อยโรฮีนจาแห่งอาระกัน” (อาร์ซา) บุกโจมตีค่ายตำรวจ 30 แห่งเมื่อ 25 ส.ค.ทำให้กองทัพเมียนมาตอบโต้บุกกวาดล้างรัฐยะไข่อย่างโหดเหี้ยมเป็นระบบ ผู้ลี้ภัยและรายงานบางกระแสระบุว่า ทหารเมียนมาทรมาน สังหารหมู่ชาวโรฮีนจา กราดยิงผู้ลี้ภัยขณะหลบหนี ข่มขืนผู้หญิง เผาหมู่บ้านชาวโรฮีนจา วางกับระเบิดสกัดผู้ลี้ภัย แถมมีกลุ่มชาวพุทธหัวรุนแรงผสมโรงเข่นฆ่าชาวโรฮีนจาด้วยรัฐบาลเมียนมาภายใต้การนำของนางอองซาน ซูจี เจ้าของรางวัลโนเบลสันติภาพยืนกรานว่าข้อกล่าวหานี้ไม่จริง ส่วนใหญ่เป็นข่าวลวง แต่สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ชี้ว่า เข้าข่ายกำจัดชาติพันธุ์ ขณะที่หลายฝ่ายรวมทั้งประธานาธิบดีเอ็มนานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศสชี้ว่า เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แล้ว!คำว่า “กำจัดชาติพันธุ์” กับ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” มีความหมายใกล้เคียงกันจนบางครั้งถูกเข้าใจว่าคือสิ่งเดียวกัน แต่อนุสัญญาของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เพื่อป้องกันการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ซึ่งมีผลบังคับใช้ใน ค.ศ.1951 ระบุว่า การ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” นั้น ผู้กระทำผิดต้องมีเจตนา “ทำลายล้าง” กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งทั้งหมดหรือบางส่วน ไม่ว่าจะเป็นการทำลายชนชาติ ชาติพันธุ์ เชื้อชาติ ศาสนา ซึ่งเป็นอาชญากรรมที่ยากจะพิสูจน์หรือดำเนินคดีส่วนการ “กำจัดชาติพันธุ์” นั้น คือการ “บังคับขับไล่” กลุ่มชนหนึ่งใดออกจากดินแดนใดดินแดนหนึ่ง มักจะเป็นภูมิภาคชายแดนของประเทศที่พยายามกำจัด “ประชากรที่ไม่พึงปรารถนา” ให้พ้นจากประเทศของตน แต่การกำจัดชาติพันธุ์ก็อาจนำไปสู่การ “ทำลายล้าง” ประชากรกลุ่มนั้นๆ ซึ่งก็คือการ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์”!ในกฎหมายระหว่างประเทศ “การกำจัดชาติพันธุ์” ยังไม่ใช่ข้อหาอาญาร้ายแรง โดยคำนี้เริ่มใช้อย่างกว้างขวางในทศวรรษ 1990 เพื่อนิยามการกระทำอันโหดร้ายป่าเถื่อน รวมทั้งการบังคับขับไล่ชนกลุ่มน้อยต่างๆ ในช่วงการแตกสลายของอดีต “สหพันธรัฐยูโกสลาเวีย” และใน ค.ศ. 2005 การประชุมวาระโลกของยูเอ็นได้รวมเอาการกระทำ 4 อย่าง คือ 1.การกำจัดชาติพันธุ์ 2.การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ 3.อาชญากรสงคราม และ 4.การก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เป็นสิ่งที่ทุกประเทศต้องมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นแต่ถึงกระนั้น ในการพิจารณาคดีของศาลระหว่างประเทศของยูเอ็นว่าด้วยอดีตยูโกสลาเวีย ศาลตัดสินว่าการสังหารชนบางกลุ่มเพื่อบังคับให้ชนกลุ่มอื่นๆลี้ภัยออกจากดินแดน ยังไม่ใช่ “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” มีเพียงคดี “การสังหารหมู่ที่เมืองซเรเบรนิกา” ในบอสเนียปี 1995 ซึ่งผู้ชายและเด็กชายชาวมุสลิมเกือบ 8,000 คนถูกจับแยกจากครอบครัวไปยิงทิ้งเท่านั้นที่ศาลตัดสินว่าจำเลยผิดในข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กรณีเมียนมา การจะชี้ชัดว่ากองทัพก่อการกำจัดชาติพันธุ์หรือฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จึงยังสรุปไม่ได้ ส่วนการจะฟ้องร้องก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะเมียนมาไม่ได้ลงนามเป็นภาคีใน “ธรรมนูญกรุงโรม” ว่าด้วย “ศาลอาญาระหว่างประเทศ” (ไอซีซี) ในกรุงเฮก แม้ว่า “บังกลาเทศ” จะเป็นหนึ่งในไม่กี่ชาติในเอเชียที่ลงนามเป็นภาคี ดังนั้น ถ้าการกระทำผิดเกิดขึ้นในเมียนมาไม่ใช่ในบังกลาเทศ ไอซีซีก็ไม่มีขอบเขตอำนาจพิจารณาคดีได้ทางเลือกหนึ่งที่จะดำเนินคดีเมียนมาได้ก็คือ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ยื่นฟ้องต่อไอซีซีเอง ดังที่เคยทำกรณีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่แคว้นดาร์ฟูร์ในซูดานตะวันตก แต่ก็ไม่ง่ายอีกเช่นกัน เพราะเป็นไปได้สูงที่จะถูก “จีน” กับ “สหรัฐอเมริกา” 2 ใน 5 ชาติสมาชิกถาวรของยูเอ็นเอสซีคัดค้าน เนื่องจากจีนและสหรัฐฯ เข้าไปลงทุนและมีผลประโยชน์ในเมียนมาเยอะมากหลังยุคเปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลทหารเป็นพลเรือนที่น่าเห็นใจและยกย่องมากก็คือ “บังกลาเทศ” ชาติที่ยากจนแออัดอยู่แล้วซึ่งต้องแบกรับภาระผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจากว่า 800,000 คน ทั้งที่ อยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยที่เมืองค็อกซ์บาซาร์ อยู่เดิมกว่า 300,000 คน และเข้าไปใหม่กว่า 520,000 คน ก่อให้เกิด “วิกฤติมนุษยธรรม” ครั้งร้ายแรงที่สุดของโลกยุคนี้ ภาระหนักอึ้ง–นายกรัฐมนตรีชีค ฮาสินา แห่งบังกลาเทศ เข้าร่วมพิธีต้อนรับกลับบ้านที่กรุงธากาหลังกลับจากไปร่วมประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติที่นิวยอร์ก โดยยืนยันว่าบังกลาเทศจะสนับสนุนผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจานับล้านคนต่อไปแม้เป็นภาระหนักหนาสาหัส (เอพี)แม้รัฐบาลนายกฯ ชีค ฮาสินา แห่งบังกลาเทศจะเมตตารับผู้ลี้ภัยและคิดจะสร้างค่ายผู้ลี้ภัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกแต่ถูกต่อต้านเพราะหวั่นเกิดโรค ระบาดรุนแรงรวดเร็ว แต่คำร้องขอให้ประชาคมโลกช่วยรับภาระและให้เมียนมารับผู้ลี้ภัยกลับก็ยังไม่เห็นอนาคต เพราะนานาชาติได้แต่รุมด่าเมียนมาแต่ยังไม่ช่วยแบกรับภาระเท่าที่ควรส่วน “จีน” และ “อินเดีย” มหาอำนาจเพื่อนบ้านซึ่งมีอิทธิพลสูงที่จะกดดันเมียนมาได้ก็สนับสนุนรัฐบาลเมียนมาสุดๆ เพราะมีผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจมหาศาล อีกทั้งรัฐบาลซูจีก็ไร้อำนาจควบคุมกองทัพที่มีอำนาจสูงสุดไม่ได้ ถ้ากองทัพไม่เอาด้วยก็จบเห่!สิ่งที่บังกลาเทศกลัวที่สุดก็คือถ้าวิกฤติยืดเยื้อ พวกมุสลิมหัวรุนแรงหรือผู้ก่อการร้ายข้ามชาติจะแทรกแซงเข้าไปฝังรากลึกในหมู่ผู้ลี้ภัยโรฮีนจาหลายแสนคน ทั้งที่ตัวเองก็มีปัญหากลุ่มหัวรุนแรงภายในที่โยงใยกับกลุ่มก่อการร้ายสากลอย่าง “กองกำลังรัฐอิสลาม” (ไอเอส) และ “อัลเคดา” อยู่แล้วในระยะยาว...ยากที่บังกลาเทศจะแบกรับภาระหนักอึ้งนี้ได้ ประชาคมโลกต้องรีบลงมือช่วยอย่างจริงจัง เร่งด่วน ไม่ใช่เอาแต่พูด...ก่อนที่จะสายเกินไป!บวร โทศรีแก้ว