เสียงเรียกร้องปฏิรูปตำรวจยังคงดังเป็นระยะๆ ล่าสุดเครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ขอให้เร่งปฏิรูปตำรวจตามเสียงเรียกร้องประชาชน และให้คะแนนคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจแค่ 1 จาก 10 คะแนน พร้อมทั้งเรียกร้องให้โอน 11 หน่วยงานตำรวจ ไปให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ แยกระบบงานสอบสวน และให้อัยการตรวจสอบควบคุมเพียง 1 คะแนนที่ให้คณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ หลังจากปฏิบัติหน้าที่มากว่า 3 เดือน แต่ยังดีกว่า 0 คะแนน จาก รศ.สังศิต พิริยะรังสรรค์ แห่งมหาวิทยาลัยรังสิต หลังจากที่คณะกรรมการมีมติให้งานสอบสวนขึ้นตรงกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ต่อไป อาจารย์สังศิตกล่าวว่า ประชาชนผิดหวัง เพราะถ้าการสอบสวนไม่อิสระ ประชาชนไม่มีวันได้รับความยุติธรรมน่าเห็นใจคณะกรรมการฯ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากแวดวงตำรวจและข้าราชการ ย่อมจะเข้าข้างตำรวจเป็นธรรมดา และยากที่จะยอมเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ แม้แต่หัวหน้า คสช.และนายกรัฐมนตรี ผู้ถือดาบอาญาสิทธิ์ ม.44 ก็ดูเหมือนจะไม่เต็มใจที่จะปฏิรูปตำรวจ โบ้ยให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลหน้า แต่เนื่องจากมีบทบัญญัติรัฐธรรมนูญบังคับ จึงต้องทำตามรัฐธรรมนูญบังคับไว้ว่าต้องปรับปรุงระบบการสอบสวนคดีอาญา ให้มีการตรวจสอบและถ่วงดุลระหว่างตำรวจกับอัยการ ต้องปรับปรุงเรื่องหน้าที่อำนาจ และภารกิจของตำรวจ เช่นโอนงานที่ไม่ใช่ภารกิจหลักของตำรวจให้หน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรง เช่น ตำรวจรถไฟ ตำรวจทางหลวง ตำรวจท่องเที่ยว และการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจให้เป็นไปตามหลักคุณธรรมการปฏิรูปตำรวจตามรัฐธรรมนูญ ส่วนใหญ่ทำให้ คสช. “เล็ก” ลง และต้องสูญเสียตำรวจ จึงถูกต่อต้านเป็นธรรมดา แทนที่จะโอนงานท่องเที่ยวให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ แต่ สตช.กลับยกฐานะ “กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว” เป็น “กองบัญชาการ” และคัดค้านการให้งานสอบสวนเป็นอิสระ โดยอ้างว่ามีความจำเป็นที่ สตช.จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบบรรดาผู้ที่สันทัดกรณีเรื่องการสอบสวน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นระบบที่ขาดการตรวจสอบและถ่วงดุล โดยองค์กรอื่น ตำรวจเป็นผู้ผูกขาดฝ่ายเดียว เป็นระบบด้อยพัฒนาและล้าหลัง ไม่สามารถคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชน และเป็นเหตุให้มีการ “จับแพะเข้าคุก” มากมาย ตั้งแต่ปี 2556 ถึงต้นปีนี้ มีเรื่องร้องเรียนที่ไม่เป็นข่าวนับร้อยๆเรื่องอดีตนายตำรวจผู้มากประสบการณ์ พ.ต.ท.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร ฟันธงว่า การปฏิรูปงานสอบสวนสำคัญที่สุดต่อการปฏิรูปประเทศ นั่นก็คือรัฐต้องนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ โดยไม่ให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์เดือดร้อน และปิดช่องไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งคน หรือเรียกสินบนจากผู้ทำผิดที่ร่ำรวย ยืนยันว่า “ถ้าไม่ปฏิรูประบบสอบสวน จะไม่มีกฎหมาย ไม่มีประชาธิปไตย”.