เน็ตแอพ เผยเทรนด์เทคโนโลยีในปี 2560 ชี้ ดาต้าและคลาวด์ คือส่วนสำคัญในหลายภาคธุรกิจ ผู้ใช้งานต่างมองหาโครงสร้างไอทีที่ข้อมูลบนคลาวด์เชื่อมกับสตอเรจ และแอปพลิเคชันใหม่ๆ ได้แบบเรียบง่าย รวดเร็ว เพื่อแข่งขันทางธุรกิจในยุคดิจิตอล

เมื่อเร็วๆ นี้ เน็ตแอพ บริษัทชั้นนำในการจัดการและบริหารข้อมูลระดับโลก เผยเทรนด์เทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นในปี 2560 ซึ่งดาต้าหรือข้อมูลจะเริ่มมีอิทธิพลต่อการดำเนินงานในภาคธุรกิจอย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงเทคโนโลยีคลาวด์ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ใช้ในหลายระดับ โดยผู้ใช้เริ่มมองหาโซลูชั่นที่ใช้งานได้ง่าย ไม่ซับซ้อน ลดต้นทุนให้แก่องค์กรในขณะที่ยังสามารถดำเนินงานไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายมาร์ค เบรกแมน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ หรือ CTO ของเน็ตแอพกล่าวถึงแนวโน้มที่น่าสนใจที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ ดังนี้

1.ข้อมูล คือ สกุลเงินใหม่ ในยุคเศรษฐกิจแบบดิจิตอล เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่เรานำข้อมูลมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ กลายเป็นว่า ข้อมูลกลับเป็นธุรกิจสำคัญ จากการที่ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จของธุรกิจ จนเป็นเหมือนสกุลเงินใหม่ของยุคดิจิตอลในปัจจุบันและจะมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบทางธุรกิจ ไปจนถึงเทคโนโลยี รวมถึงความคาดหวังของลูกค้า ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การถือกำเนิดของธุรกิจแบบอูเบอร์ (Uber) และ แอร์บีเอ็นบี (Airbnb) เป็นต้น ซึ่งมาจากการบริหารเครือข่ายข้อมูล

2.โมเดลใหม่ก้าวขึ้นมามีบทบาทในยุคดิจิตอล เมื่อข้อมูลมีความสำคัญมากขึ้น ก็จำเป็นต้องมีแพลตฟอร์มการบริการตามมา รวมทั้งระบบของผู้ให้บริการและผู้ที่พัฒนาบริการ ตัวอย่างเช่น อเมซอน เว็บ เซอร์วิส (Amazon Web Services) ซึ่งพัฒนาให้มีบริการที่หลากหลายยิ่งขึ้น จนเป็นวงจรเหมือนตลาดที่เป็นจุดนัดพบระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย

...

3.คลาวด์คือปัจจัยและตัวเร่งสำคัญที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง องค์กรส่วนใหญ่ใช้เทคโนโลยีคลาวด์ในการตอบสนองความต้องการด้านข้อมูลในปัจจุบัน ความพร้อมในการให้บริการประเภทคลาวด์ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานทางไอทีได้ง่ายขึ้นตามความต้องการ และสามารถรองรับนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที และช่วยลดอุปสรรคในการเข้าถึงข้อมูล ยกตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้งานมีบัตรเครดิตและเปิดบัญชีผู้ใช้กับ อเมซอน เว็บ เซอร์วิส (Amazon Web Services) เพียงเท่านี้ก็สามารถวางระบบกับโปรเจกต์ใหม่ให้แล้วเสร็จได้ภายในวันเดียว และสามารถคิดค่าใช้จ่ายตามการใช้งานที่เกิดขึ้นจริง

4.เทคโนโลยีใหม่ๆ กลายเป็นเรื่องมาตรฐาน ในยุคดิจิตอลเช่นนี้ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการขับเคลื่อนของธุรกิจมุ่งไปสู่ความโดดเด่นของเทคโนโลยีที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ที่จะมาในรูปแบบของแอปพลิเคชันใหม่ๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในทุกวันนี้ก็ คือ การเกิดขึ้นและพัฒนาการของ DevOps หรือแนวคิดที่จะช่วยให้กระบวนการพัฒนาและส่งมอบซอฟต์แวร์ หรือแอปพลิเคชันขององค์กรนั้นมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้นกว่าเดิม ปัจจุบันเทคโนโลยีเหล่านี้ถือว่าเป็นโซลูชั่นที่ยังจำกัดการใช้งานอยู่เฉพาะกลุ่ม แต่เมื่อคุณค่าของข้อมูลเริ่มมีบทบาทสำคัญต่อภาคธุรกิจ และการเติบโตทางนวัตกรรมกำลังกลายมาเป็นอาวุธสำคัญในการแข่งขัน ดังนั้นเทคโนโลยีดังกล่าวกำลังจะกลายมาเป็นเทคโนโลยีที่อยู่ในกระแสหลักได้อย่างรวดเร็ว

5.ความหลากหลายประเภทของสตอเรจและเทคโนโลยีการบริหารจัดการข้อมูลเริ่มพัฒนาขึ้น ในขณะที่โครงสร้างพื้นฐานทางไอทีกำลังเติบโตขึ้นเพื่อปรับตัว และรองรับการเชื่อมต่อบนคลาวด์และแอปพลิเคชันใหม่ๆ ดังนั้น เทคโนโลยีของสตอเรจประเภทต่างจึงเริ่มพัฒนาขึ้นเช่นกัน อย่างที่ได้เริ่มเห็นกันแล้วว่าแฟลช สตอเรจได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อันเนื่องมาจากการตอบสนองและการทำงานที่มีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกันกับ hyper-converged infrastructure หรือระบบที่รวมเซิร์ฟเวอร์ สตอเรจ และการเชื่อมต่อบนเครือข่ายให้อยู่ภายใต้ฮาร์ดแวร์เดียวกัน

6.การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการทำงานอย่างต่อเนื่อง สิ่งสำคัญที่สุดคงหนีไม้พ้นการเปลี่ยนแปลงด้านความคาดหวังจากผู้ใช้งานที่มีประสบการณ์คุ้นเคยกับการทำงานที่ง่ายดายแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือในรูปแบบต่างๆ จึงไปเพิ่มความคาดหวังในการใช้งานที่ เรียบง่ายของซอฟต์แวร์ในการบริหารจัดการข้อมูล สำหรับจุดยืนทางธุรกิจ บริษัทต่างๆ ล้วนมีความต้องการความเรียบง่ายในการทำงานเหล่านี้ เพราะจะช่วยลดต้นทุนด้านทรัพยากรในการบริหารจัดการข้อมูลในขณะที่เพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงและบริหารจัดการข้อมูลในฐานะที่เป็นทรัพยากรของบริษัทที่มีค่า

ส่วน ทิศทางเทรนด์ไอทีในเมืองไทย นายวีระ อารีรัตนศักดิ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เน็ตแอพ ประจำภูมิภาคอาเซียน เผยว่า เน็ตแอพ ประเทศไทยนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเพื่อรองรับและสนับสนุนการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีให้กับองค์กรต่างๆ ตามความต้องการให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น อาทิ เทคโนโลยีวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Analytics) การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการข้อมูลที่มีปริมาณมาก (Big Data) รวมไปถึงระบบคลาวด์ที่กำลังมีการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้ทุกหน่วยงานเริ่มมองหาและวางโครงสร้างพื้นฐานไอที พร้อมทั้งสรรหาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านดังกล่าวเพื่อเป็นการปูพื้นฐานไปสู่ไทยแลนด์ 4.0.