เมื่อพูดถึง สตาร์ตอัพ (Startup) คำคำนี้ได้กลายเป็นคำที่คนไทยจำนวนมากรับรู้และเข้าใจเป็นอย่างดี จากทุกสื่อโหมกระแส ทำให้ผู้ประกอบการจำนวนมาก อยากถลกแขนเสื้อ หันมาลองทำสตาร์ตอัพสักตั้ง ทว่าเมื่อย่างก้าวเข้าสู่ปี 2018 ต่อด้วยปี 2019 คำว่าสตาร์ตอัพ ดูจะเป็นคำที่ถูกพูดถึงน้อยลง สตาร์ตอัพ กำลังจะถูกลืมเลือน กลายเป็นเพียงสายลมที่กำลังพัดผ่านจริงหรือไม่
ไทยรัฐออนไลน์ มีโอกาสพูดคุยกับนายจาชชัว แพส กรรมการผู้จัดการ SCG AddVentures ในงานสัมมนาความรู้ด้านเทคโนโลยี และสตาร์ตอัพ Techsauce Global Summit 2019 ที่จัดขึ้นใจกลางกรุงเทพมหานคร ถึงทิศทาง ปัญหา และก้าวเดินก้าวต่อไปของสตาร์ตอัพไทย
ก่อนหน้าที่จะพูดถึงประเด็นดังกล่าว นายจาชชัว แพส ได้อธิบายถึงภาพรวมของ SCG AddVentures ซึ่งเป็นบริษัทที่เข้าไปมองหาเทคโนโลยี ที่มีความน่าสนใจจากทั่วทุกมุมโลก เน้นนวัตกรรมในสามกลุ่มหลัก ได้แก่ Enterprise, Industrial และ Business-to-Business (B2B)
“SCG AddVentures มีการลงทุนกับสตาร์ตอัพหลายแห่งในโลก ตั้งแต่อาเซียน, จีน, อิสราเอล ไปจนถึงสหรัฐอเมริกา”
พร้อมกันนี้ SCG AddVentures ยังได้ทำเรื่องของ Commercial Partnership หรือการสร้างความร่วมมือกับสตาร์ตอัพในฐานะคู่ค้า
“ตัวอย่างของ Commercial Partnership ก็คือว่า ถ้าหากภายในของเอสซีจีมีปัญหา แม้เราสามารถแก้ปัญหาด้วยตัวเองได้ แต่ต้องใช้เวลา ดังนั้น เราก็จะเลือกทำงานกับสตาร์ตอัพที่ใช้เวลาน้อยกว่า”
จับชีพจร “สตาร์ตอัพไทย” ไม่คึกคัก?
...
นายจาชชัว อธิบายว่า สตาร์ตอัพที่มีความเกี่ยวข้องกับคนทั่วไป เรียกว่า Business-to-Customer หรือ B2C ซึ่งหากตลาดมีแอปพลิเคชันให้ผู้ใช้งานได้ใช้เป็นจำนวนมาก มันก็คือความคึกคัก เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้งานโดยตรง เพียงแต่ในช่วงปี 1-2 ปีหลัง ถามว่า มันขาดแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้งานโดยตรงหรือไม่ นายจาชชัว คิดว่า ใช่
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากมองในมุมของ SCG AddVentures ที่เน้นการลงทุนในสตาร์ตอัพแบบ B2B มันกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ทั้งในแง่ของจำนวนและคุณภาพ พร้อมกันนี้ยังมีจุดที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ สตาร์ตอัพในฝั่งของ B2B ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่ใช่เด็กวัยรุ่นเพิ่งเรียนจบแล้วหันมาทำสตาร์ตอัพ แต่เป็นกลุ่มคนที่มีประสบการณ์ทำงานนับสิบปี คนกลุ่มนี้มองเห็นถึงปัญหาบางอย่าง จึงออกจากงานประจำ แล้วหันมาทำสตาร์ตอัพ เพื่อแก้ปัญหาที่ตัวเองพบเจอ
“ความหวือหวาของวงการสตาร์ตอัพเมื่อ 1-2 ปีก่อน เป็นช่วงที่ทุกคนประกาศตัวว่าจะทำสตาร์ตอัพ พอประกาศทำสตาร์ตอัพเสร็จ จากนั้นมันจะเข้าสู่ช่วงของการลงมืออย่างจริงจัง การพูดถึงเลยน้อยลงไป” เป็นสิ่งที่นายจาชชัว ตั้งข้อสังเกต
นายจาชชัว กล่าวต่อไปว่า วงการสตาร์ตอัพไม่ได้สนใจว่า มีการประกาศตัวทำธุรกิจสตาร์ตอัพมากน้อยแค่ไหน แต่ความสำคัญ มันอยู่ที่คุณจะพาตัวเองประสบความสำเร็จในการประกอบการสตาร์ตอัพมากน้อยแค่ไหน
“อาจจะมีสตาร์ตอัพเปิดตัวเป็นร้อยแห่ง แต่ประสบความสำเร็จจริงอาจจะแค่หลักสิบ หรือแย่หน่อยก็หลักหน่วย”
ระบบนิเวศในไทย ไม่เกื้อหนุนให้ทำสตาร์ตอัพ?
เมื่อถามถึงสภาพความพร้อมในการทำสตาร์ตอัพในไทย ในฐานะนักลงทุนสตาร์ตอัพ มองว่า ระบบนิเวศ มีหลายองค์ประกอบ สตาร์ตอัพเป็นหนึ่งในนั้น เช่นเดียวกับ Venture Capital (VC) ซึ่งเป็นนักลงทุน ความสามารถ (Talent) ของผู้ประกอบการ และเทคโนโลยี ก็ล้วนแต่เป็นฟันเฟืองของระบบนิเวศ ทั้งหมดนี้มีแล้ว ที่เหลือเป็นเรื่องของการทำงาน
“ผมยังมองว่า สตาร์ตอัพไทยยังอยู่ในจุดเริ่มต้น เหมือนเพิ่งเริ่มตั้งไข่ ซึ่งต้องทำความเข้าใจด้วยว่า สตาร์ตอัพต้องใช้เวลานาน 5-8 ปี กว่าจะเห็นดอกเห็นผลของความสำเร็จ สตาร์ตอัพเป็นเกมยาว สตาร์ตอัพบางรายอาจจะทำแล้ว ล้มเหลว แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะกลับมาได้อีก เพราะถือว่าไทยก็มีระบบนิเวศที่พร้อมในระดับหนึ่ง”
อย่างไรก็ตาม ถ้าพูดกันตามตรง ในส่วนทรัพยากรบุคคล ไทยยังเป็นรองประเทศอย่างสิงคโปร์ ที่มีการพัฒนาระบบนิเวศมาอย่างยาวนาน
“ถามว่าประเทศไทยจะสู้ไม่ได้หรือ? ไม่ใช่หรอก แต่ไทยเรายังอยู่ในระยะฟักตัว ถ้าเราเปิดตัวเข้าสู่สตาร์ตอัพอย่างจริงจังเมื่อปี 2016 กว่าที่จะเห็นผลชัดเจนคงต้องรอหลังจากนี้ 2-3 ปี หรือก็คือปี 2022 ที่เราอาจได้เห็นสตาร์ตอัพที่จะมาแรงในไทยก็ได้”
ไทย/ไม่ไทย ในสตาร์ตอัพ
ประการต่อมา นั่นคือ การพูดถึงความเป็นสัญชาติไทยในวงการสตาร์ตอัพ หัวเรือใหญ่แห่ง SCG AddVentures มองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พูดยาก เนื่องจากการทำสตาร์ตอัพ เป็นการรวมตัวกันของคนที่มีความหลากหลายทางความคิด มากความสามารถ อีกทั้งจากประสบการณ์ในการลงทุนที่ผ่านมา พบว่า ยิ่งมาจากวัฒนธรรมที่หลากหลาย ยิ่งทำให้สตาร์ตอัพนั้นๆ น่าสนใจด้วยซ้ำ
...
“ถึงที่สุดแล้ว เราอาจจะไม่ต้องมองเรื่องสัญชาติก็ได้ เพราะถ้าสตาร์ตอัพเหล่านั้นสามารถพัฒนาให้ตอบโจทย์ สร้างประโยชน์สูงสุดให้กับคนไทย ก็อาจจะเพียงพอแล้ว”
ส่วนถ้าต้องการเห็นทุกอย่างที่เป็นคนไทยทั้งหมด นายจาชชัว ได้อธิบายย้อนกลับไปว่า สตาร์ตอัพไทยยังอยู่ระยะฟักตัว เมื่อพ้นจากระยะนี้แล้ว ก็อาจจะได้เห็นสิ่งที่น่าสนใจจากสตาร์ตอัพไทยได้เช่นกัน
ยุคของ Disruption ยังไม่จบ
เมื่อพูดถึงคำว่า สตาร์ตอัพ อีกคำหนึ่งที่จะตามหลังมา ประหนึ่งเงาตามตัว นั่นคือ คำว่า Disruption หรือการที่เทคโนโลยีเข้ามาท้าทายธุรกิจที่มีอยู่เดิม นายจาชชัว กล่าวว่า ที่ผ่านมา มีผู้คนจำนวนมากมองการ Disruption เป็นสิ่งที่เพิ่งเริ่ม บางคนก็มองว่า มันกำลังสิ้นสุดลง หรือหลายคนคิดไปยิ่งกว่านั้นว่า มันจะหนักหน่วงร้ายแรงยิ่งขึ้น
“มันจะแรงขึ้นเรื่อยๆ นี่ยังแค่เพิ่งเริ่มต้น มันจะหนักหน่วงรุนแรงกว่านี้ นี่คือมุมมองของผมนะ” ก่อนที่นายจาชชัว กล่าวต่อไปว่า มันยังไม่จบในเร็วๆ นี้ การ Disruption จะมีตั้งแต่น้อยๆ หรือเปลี่ยนวิธีการเป็นการทำลายล้างไปเลย
ยกตัวอย่างที่ชัดเจน จำพวกบริการ Ride Sharing ที่เข้ามาทำลายล้างระบบแท็กซี่เดิม, การซื้อของในห้างที่ขยับไปหาร้านค้าออนไลน์ หรือแม้แต่วงการสื่อเองก็ตาม
แน่นอนว่าทุกๆ ธุรกิจถูก Disruption ในปริมาณมากน้อยไม่เท่ากัน แต่จากการศึกษาพบว่า ธุรกิจที่ดูเหมือนไม่ถูก Disrupt เลย เช่นธุรกิจร้านอาหาร ที่จริงแล้วไม่ใช่ ธุรกิจร้านอาหารประสบปัญหาไม่น้อย
ลองคิดดูว่า ทุกวันนี้ มีบริการรับส่งอาหาร ทำให้คนไม่ต้องเดินทางไปถึงร้านอาหารนั้นจริงๆ เพราะมีคนมาส่งให้ถึงที่แล้ว คนกินอาหารที่ร้านน้อยลงหรือเปล่า นี่เป็นการ Disruption อย่างหนึ่ง จะแรงหรือไม่แรง แต่ก็โดน Disruption
...
“ส่วน SCG ที่เป็นบริษัทอุตสาหกรรมที่อยู่กึ่งกลาง ซึ่งการ Disruption มาแน่ๆ เราก็ต้องปรับตัวกันไป”