แกะกล่อง IT พาคุณไปทำความรู้จัก "Jabra Elite Sport" หูฟังบลูทูธเพื่อคนชอบวิ่ง ไร้สายแต่มาพร้อมเทคโนโลยีและคุณสมบัติกันน้ำ…

กลับมาพบกับ "แกะกล่อง IT by PRISM" กันอีกครั้ง เราไม่พลาดสรรหานวัตกรรมใหม่ๆ มาให้คุณได้ยลโฉมและทำความรู้จักแบบเจาะลึกไปด้วยกัน!

ครั้งนี้เป็นคิวของ "หูฟังบลูทูธ" หรือจะเรียกว่าหูฟังไร้สายก็ความหมายเดียวกัน กับหูฟังจากแบรนด์จาบร้า (Jabra) รุ่น "อีลิท สปอร์ต" (Elite Sport) ที่บริษัท อาร์ทีบี เทคโนโลยี จำกัด นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย กับจุดเด่นที่เป็นทั้งหูฟังบลูทูธ กันน้ำ ออกแบบมาเพื่อเอาใจนักวิ่ง และมีเซนเซอร์ตรวจวัดอัตราการเต้นหัวใจ

เกริ่นขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่พาคุณไปทำความรู้จักกับหูฟังที่ Jabra การันตีว่าเป็นเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา คงถือว่าพลาด! อย่ารีรอให้เสียเวลา ชวนคุณทำความรู้จัก Jabra Elite Sport ไปพร้อมกัน...!

...


ใส่เทคโนโลยีอะไรมาบ้าง?

Jabra Elite Sport เป็นหนึ่งในหูฟังที่ผสานภาพลักษณ์หูฟังเชิงธุรกิจและเครื่องช่วยฟังระดับการแพทย์เข้าด้วยกัน จึงมีการผสานเทคโนโลยีทั้งด้านหูฟังและเซนเซอร์ต่างๆ ที่สามารถวัดได้จากการสวมใส่ที่หูเข้ามาใช้กับหูฟังรุ่นนี้

ระบบเสียงที่สามารถตั้งค่าให้ได้ยินเสียงสภาพแวดล้อมภายนอกได้ กับระบบ Audio Pass-through ทำให้ฟังเพลงไปด้วยและยังได้ยินเสียงภายนอกได้พร้อมกัน ทั้งยังมีไมโครโฟน 4 ตัว ถูกฝังอยู่ภายในหูฟังทั้ง 2 ด้าน ทำให้ได้ยินเสียงชัดเจน

มีเซนเซอร์ตรวจวัดอัตราการเต้นหัวใจ (Heart Rate) และเซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว (TrackFit Motion Counting Sensor - Tri axis accelerometer) ด้วยคุณสมบัติที่การันตีว่ามีความแม่นยำมากกว่าเซนเซอร์บริเวณอื่นถึง 98% เนื่องจากหูเป็นบริเวณที่มีเหงื่อน้อยกว่าอวัยวะอื่น จึงสามารถตรวจวัดอัตราการเต้นหัวใจได้แม่นยำกว่า


คุณภาพเสียง เน้นเสียงเบสเอาใจคนชอบฟังเพลงหนักเบส มีเทคโนโลยีประมวลผลในการฟัง ช่วยให้รองรับความถี่ของเสียงได้ดี

กันน้ำกันฝุ่น ด้วยเทคโนโลยีป้องกันเหงื่อและความชื้นมาตรฐาน IP67 สามารถกันน้ำลึก 1 เมตร ภายในเวลา 30 นาที

แบตเตอรี่ รองรับการใช้งานติดต่อกัน 3 ชั่วโมง แต่เมื่อชาร์จกับกล่องใส่หูฟังก็จะสามารถใช้งานได้นานขึ้น อีกราวๆ 6 ชั่วโมง พร้อมกับระบบชาร์จอย่างรวดเร็ว เมื่อชาร์จ 20 นาที สามารถใช้งานได้นาน 1 ชั่วโมง

มีเอียวิงส์ (EarWings) ทำให้ใส่หูฟังเข้ากับหูและใช้งานในกิจกรรมต่างๆ ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะหลุดหรือหล่น ซึ่งในกล่องมาพร้อมกับเอียวิงส์ 3 แบบ

รองรับการใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชันทั้งระบบปฏิบัติการไอโอเอสและแอนดรอยด์ ผ่านแอป Jabra Sport Life ช่วยให้สามารถตรวจสอบแคลอรี นับจำนวนท่าออกกำลังกาย หรือรับคำแนะนำด้วยเสียงจากโค้ชส่วนตัว (Audio Coach)

...

...




สรุป...ต้องรู้!!!

1. การตั้งค่าถือว่ายุ่งยากพอสมควร ส่วนตัว...มีปัญหากับการกดปุ่มเพื่อเปิดหูฟังให้เชื่อมต่อกับมือถืออยู่หลายครั้งกว่าจะสำเร็จ โดยเฉพาะช่วงแรกซึ่งยังไม่คุ้นชินกับการใช้งานก็จะสับสนกับจังหวะการกดปุ่มเพื่อเปิด-ปิดเครื่องหรือสแตนด์บาย และการตั้งค่าใช้งานครั้งแรกก็ค่อนข้างยากเอาเรื่อง แม้จะมีคำแนะนำในการช่วยตั้งค่าแต่ก็เป็นภาษาอังกฤษ ต้องเชื่อมต่อหูฟังเข้ากับมือถือให้ได้ จึงจะสามารถเริ่มตั้งค่าเป็นอันดับถัดไป

2. ข้อดีคือ แม้จะเป็นหูฟังไร้สายก็ไม่หลุดออกจากหูง่ายๆ อย่างแน่นอน หากใส่ได้ลงล็อกพอดีแล้วจะรับกับรูปทรงของหู (ค่อนไปทางแน่น) ซึ่งช่วงแรกที่ใส่จะรู้สึกว่าแน่นเกินไปหรืออึดอัด แต่ความพิเศษของ Jabra Elite Sport อยู่ที่การตอบโจทย์นักวิ่ง (มากกว่าผู้ที่ซื้อเพราะอยากใช้ฟังเพลงระหว่างเดินทาง) เนื่องจากหูฟังจะให้ความกระชับกับหูเป็นอย่างมาก ส่วนตัวรู้สึก...ว่ารุ่นนี้กระชับมากที่สุดในบรรดาหูฟังไร้สายที่ได้ทดลองใช้ ส่วนการเชื่อมต่อก็พบว่ามีความเสถียรดี ระหว่างทดสอบไม่พบปัญหาว่าสัญญาณหลุดหรือถูกรบกวนแต่อย่างใด

...


3. เปิดตัวมาด้วยราคา 9,700 บาท จัดว่าอยู่ในระดับไฮเอนด์ แพงกว่าอีกรุ่นของอีกค่ายที่ออกมารองรับการใช้งานแบบไร้สาย แต่ความแตกต่างของ Jabra Elite Sport คือ คุณสมบัติกันน้ำ เทคโนโลยีที่ออกแบบมาให้รับกับใบหูได้ดีไม่หลุดง่ายแม้ขณะใส่วิ่งหรือออกกำลังกาย รวมถึงความสามารถตรวจวัดอัตราการเต้นหัวใจได้จากเซนเซอร์ที่อยู่ภายในหูฟัง ซึ่งระบุว่าสามารถตรวจวัดได้แม่นยำกว่าเซนเซอร์รูปแบบอื่น แต่จากการทดลองพบว่ามีความคลาดเคลื่อนกับเซนเซอร์บนสมาร์ตวอตช์ประมาณ 2-5 หน่วย ส่วนคุณภาพเสียงก็อยู่ในระดับกลมกล่อม เอาใจคนชอบฟังเพลงแบบเสียงเบสหนักๆ ได้ดีพอสมควร

4. Jabra Elite Sport มีปุ่มใช้งานเพียง 3 ปุ่มบนหูฟัง 2 ข้าง แบ่งเป็นด้านขวา...มีปุ่มมัลติฟังก์ชัน (ด้านล่าง) ส่วนด้านซ้าย...มีปุ่มเพิ่ม-ลดระดับเสียง ซึ่งปุ่มหลักควบคุมการใช้งานอยู่ที่ด้านขวา หากต้องใส่และกดปุ่มในช่วงแรกจะรู้สึกเจ็บหูและไม่ชิน ต้องใช้งานสักระยะถึงจะเริ่มรู้สึกดีขึ้น เช่นเดียวกับการใส่หูฟังรุ่นดังกล่าว โดยช่วงแรกจะรู้สึกว่าใส่ยาก แต่เมื่อใช้สักพักก็จะรู้สึกชินและใช้งานได้ง่าย


5. มีฟังก์ชันสั่งงานด้วยเสียงเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งาน ซึ่งสะดวกจริงๆ เพราะใช้งานได้กับทั้งบนไอโอเอสและแอนดรอยด์ ทำให้สามารถสั่งงานกับ Siri หรือ Google Now ได้ตามปกติ แต่มีเงื่อนไขที่...ต้องสั่งงานเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น! แทนที่จะเป็นประโยชน์ก็อาจกลายเป็นปัญหาของผู้ที่ไม่ถนัดภาษาอังกฤษ

6. การใช้งานจะมีเทคนิคหลักอยู่แค่ 2 รูปแบบ คือ 1. กดปุ่มมัลติฟังก์ชัน 1 ครั้ง เพื่อหยุด-เล่นเพลง (หรือวิดีโอ) และกดเพื่อรับสายโทรเข้า 2. กดปุ่มดังกล่าวค้างไว้เพื่อใช้โหมดการสั่งงานด้วยเสียง ซึ่งตามที่บอกไปแล้วว่าหูฟังหลักคือด้านขวา ดังนั้น...เมื่อคุณถอดหูฟังด้านขวาออก ระบบก็จะตัดเสียงที่หูฟังด้านซ้ายทันที แต่เพลง (หรือวิดีโอ) ที่คุณฟังหรือดูอยู่นั้น จะยังคงเล่นต่อไปไม่หยุดอัตโนมัติ แต่ถ้าคุณถอดหูฟังด้านซ้ายออก จะไม่มีผลต่อการใช้งาน หมายความว่า...เพลง (หรือวิดีโอ) จะยังคงเล่นต่อไปตามปกติโดยที่หูฟังด้านขวาก็ยังใช้ได้ตามปกติ หากต้องการใช้งานเพียงหูฟังข้างเดียวก็สามารถทำได้ แต่ต้องเลือกใส่ข้างขวานั่นเอง.