ภาพจาก : www.cu-tcdc.com
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสเข้าฟังงานสัมมนาประจำปีของศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) ชื่อว่างาน Creative Unfold 2015 และได้รับความรู้ที่เป็นประโยชน์หลายอย่าง อยากนำมาแชร์ให้คุณผู้อ่านผ่านคอลัมน์นี้ครับ
งาน Creative Unfold เป็นงานสัมมนาเชิงวิชาการประจำปีของ TCDC ที่จัดติดต่อกันมา 9 ปีแล้ว และได้รับความสนใจอย่างล้นหลามในหมู่ผู้ประกอบวิชาชีพในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น ครีเอทีฟ ดีไซเนอร์ กราฟิก แฟชั่น
ชื่องานและองค์กรผู้จัดงานอาจชวนให้คิดว่าเป็นงานสำหรับคนสายออกแบบ แต่ตอนนี้วงการออกแบบเปลี่ยนไปเยอะมาก เพราะนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเยอะจนแทบแยกไม่ออกแล้วว่า ตกลงแล้วนี่คืองานของดีไซเนอร์หรือคนไอทีกันแน่
ธีมของงาน Creative Unfold ปีนี้จึงตั้งชื่อว่า “SHIFT” เพื่อสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม และพยายามกระตุ้นให้วงการดีไซเนอร์เมืองไทยต้องเริ่มขบคิดแล้วว่าจะต้องปรับตัวอย่างไร ถึงจะก้าวตามโลกทัน สามารถนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้
...
วิทยากรท่านแรกของงานคือ Jordan Brandt จากบริษัทซอฟต์แวร์ด้านการออกแบบชื่อดัง Autodesk บินจากสหรัฐอเมริกาเพื่อมาเล่าว่าวงการดีไซน์ของโลกเปลี่ยนไปเยอะแค่ไหน การบรรยายของ Brandt แทบทำให้เราต้องตกเก้าอี้ เพราะในห้องแล็บของ Autodesk ก้าวไปไกลกว่า “การใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยออกแบบตัวงาน” ที่เป็นธุรกิจหลักของ Autodesk มาโดยตลอด และก้าวเข้าสู่ “การใช้คอมพิวเตอร์ออกแบบตัวงานทั้งหมด โดยที่มนุษย์ไม่ต้องยุ่งเลย”
คุณ Brandt อธิบายว่าเทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3 มิติหรือ 3D Printing กลายเป็นเรื่องปกติสามัญไปแล้ว พร้อมเปิดวิดีโอประกอบตัวอย่างงานจริง ที่ใช้ “แขนกล” สามารถฉีดเหล็กเพื่อสร้างสะพานสั้นๆ ข้ามคลองเล็กๆ แห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา
ฟังดูธรรมดามากๆ ใช่ไหมครับ
สิ่งที่น่าตกใจคือแขนกลเหล่านี้สามารถทำงานได้ด้วยตัวเอง เราเพียงแค่หาวัสดุเตรียมไว้ให้มัน แล้วกำหนดโจทย์ว่า “จงสร้างสะพาน” เพียงเท่านั้น ระบบคอมพิวเตอร์จะจำลองโมเดลการสร้างสะพานที่เป็นไปได้ทั้งหมดหลายล้านรูปแบบ แล้วคำนวณโมเดลที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่สุด ทั้งระยะทาง ความแข็งแรง รูปแบบการใช้งาน สภาพอากาศ อุณหภูมิ ฯลฯ จากนั้นเราทิ้งมันไว้เฉยๆ แขนกลจะค่อยๆ ฉีดเหล็กทีละนิดเพื่อเป็นสะพานให้เราอัตโนมัติ
ตัวอย่างการสร้างสะพานลักษณะนี้อาจยังดูไกลตัว แต่นี่คือสิ่งที่สามารถทำได้แล้วในปัจจุบัน และอีกไม่นานมันจะเข้ามาปฏิวัติวงการสถาปัตยกรรม รวมถึงวงการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ครั้งใหญ่
การที่เราจะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ จำเป็นต้องใช้ความรู้แบบสหวิทยาการ (multi discipline) ทั้งการออกแบบ คอมพิวเตอร์ วัสดุศาสตร์ ไปจนถึงการเรียนรู้พฤติกรรมของผู้บริโภค เราจะเห็นว่ากระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในยุคหน้าจำเป็นต้องทำงานเป็นทีม และดึงคนที่มีความรู้หลากหลายสาขาเข้ามาทำงานร่วมกันให้ได้ ใครที่ยังยึดติดกับกระบวนการ “ข้ามาคนเดียว” “อะไรไม่เกี่ยวเราไม่ทำ” จะกลายเป็นคนที่ตกยุคในเร็ววัน
ในฝั่งของผู้บริโภคเองก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก “คนรุ่นใหม่” ที่เติบโตมากับเทคโนโลยีทั้งหลายในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา มีพฤติกรรมการบริโภคและการใช้ชีวิตแตกต่างไปจากคนรุ่นก่อนหน้ามากๆ ใครที่ยังยึดติดกับวิถีการดำเนินชีวิตแบบที่แล้วๆ มา ก็อาจตกขบวนการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้เช่นกัน
วิทยากรอีกท่านหนึ่งคือคุณ Rich Radka จากบริษัท Claro Partners ในนิวยอร์ก มาเล่าเรื่องการศึกษาพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่อย่างเป็นระบบ เพื่อทำความเข้าใจว่าแบรนด์และบริษัทต่างๆ ควรทำตัวอย่างไรเพื่อให้จับใจลูกค้ากลุ่มนี้
คุณ Radka สรุปแนวคิดว่า คนรุ่นก่อนมี “เส้นทางชีวิต” ที่เป็นเส้นตรง ช่วงวัยรุ่นจะเลือกเส้นทางชีวิตจากสาขาวิชาที่เลือกเรียน เช่น ทนายความ แพทย์ นักออกแบบ จากนั้นชีวิตที่เหลืออยู่จะต้องเดินบนเส้นทางนั้นไปตลอด
แต่คนรุ่นใหม่หรือที่เราเรียกว่า millennial กลับไม่มีวิถีชีวิตแบบนั้นอีกแล้ว เพราะโลกทุกวันนี้มี “ทางเลือก” ให้มากมายนับไม่ถ้วน เส้นทางชีวิตของคนรุ่นใหม่จึงเป็นเหมือนเขาวงกต ที่สามารถเลือกเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาได้ตลอดเวลา ขึ้นกับว่าชีวิตในช่วงนั้นมีโอกาสใดวิ่งเข้ามาหาบุคคลนั้นบ้าง
...
คุณ Radka ยกตัวอย่างของสาวสิงคโปร์คนหนึ่งที่ได้ทุนเรียนต่อของรัฐบาล แต่สุดท้ายเธอปฏิเสธทุนด้วยเหตุผลว่า เธอเพิ่งอายุ 17 ปี ยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องการจะประกอบอาชีพใดในอนาคต เธอจึงไม่อยากรับทุนเพราะกลัวการผูกมัดว่าจะต้องประกอบอาชีพนั้นไปอีกนาน
ดังนั้นในเมื่อชีวิตของคนรุ่นใหม่มีความไม่แน่นอนสูง เราจึงต้องออกแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เปิดให้คนเหล่านี้มีโอกาส “ลอง” ก่อน “เลือก” มากขึ้น เช่น มีค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมครั้งแรกต่ำ (หรืออาจจะฟรี) และไม่เสียประโยชน์หรือเสียสิทธิใดๆ หากคนเหล่านี้ลองแล้วไม่ชอบและเลิกใช้งานไป เพราะมีโอกาสที่ในอนาคตเขาจะกลับเข้ามาใช้บริการของเราอีกครั้งหนึ่ง
นอกจากนี้ คนรุ่นใหม่ยังมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ผลิตภัณฑ์หรือบริการจึงต้องเปิดโอกาสให้ปรับแต่ง (customize) เพื่อสะท้อนตัวตนของตัวเองที่แตกต่างจากคนอื่นๆ แต่ในอีกทาง คนรุ่นใหม่ก็ต้องการ “ความหมายของชีวิต” ว่าต้องการทำอะไรที่มีความหมาย มีประโยชน์หรือเกิดผลกระทบต่อคนรอบตัวด้วย คุณ Radka เรียกแนวคิดนี้ว่า Me+ ซึ่งหมายถึง “ตัวฉัน” (Me) แต่รวมสิ่งอื่นๆ ที่อยู่รอบตัวเข้าไปด้วยนั่นเอง
งานสัมมนาเหล่านี้มีเนื้อหามาก วิทยากรแต่ละคนปล่อยของแบบไม่มีกั๊ก ผมจะพยายามเก็บเนื้อหามาเล่าทั้งในคอลัมน์นี้และบน Blognone แต่ก็คงไม่มีทางเล่าได้หมด ท่านใดที่สนใจความรู้เรื่องการออกแบบที่ผสมผสานเทคโนโลยี เพื่อสร้างมูลค่าใหม่ๆ ทางเศรษฐกิจ สามารถติดตามได้จากช่อง YouTube ของ TCDC Thailand ที่บันทึกวิดีโอการบรรยายทั้งหมดไว้ และคงจะนำมาเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตให้เป็นความรู้สาธารณะในอีกไม่ช้าครับ