คำศัพท์โดดเด่นของวงการไอทีประจำปีนี้คือ “Wearable Computing” หรือแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “อุปกรณ์ไอทีแบบสวมใส่ได้”
ถ้าพูดแต่คำศัพท์อย่างเดียวบางคนอาจงง แต่ถ้ายกตัวอย่างว่ามันคือคำเรียก “นาฬิกาอัจฉริยะ” แบบ Samsung Gear หรือ “แว่นอัจฉริยะ” แบบ Google Glass ก็น่าจะพอนึกภาพออกกันแล้วใช่ไหมครับ
รอบ 1-2 ปีที่ผ่านมา เราเริ่มเห็นสินค้าตระกูล wearable ออกวางขายบ้างแล้ว ทั้งจากบริษัทใหญ่อย่างซัมซุง-โซนี่ และจากบริษัทขนาดย่อมลงไปอีกเป็นจำนวนมาก
กูเกิลเองก็เพิ่งเปิดตัวระบบปฏิบัติการ Android Wear สำหรับนาฬิกา ไปเมื่อเดือนที่แล้ว และในวงการก็เก็งกันว่าเดือนกันยายนปีนี้ เราจะได้เห็นแอปเปิลเปิดตัวอุปกรณ์แบบสวมใส่ได้เช่นกัน
ผมลองมานั่งจัดหมวดหมู่สินค้าตระกูล wearable ในท้องตลาดปัจจุบัน พบว่าสามารถแยกย่อยได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
1) นาฬิกาอัจฉริยะ (Smart Watch)
สินค้ากลุ่มนี้มีลักษณะตรงตามชื่อคือเป็น “นาฬิกา” ทำหน้าที่บอกเวลาควบคู่ไปกับงานเสริมอื่นๆ ซึ่งขึ้นกับว่าผู้ผลิตแต่ละรายจะสร้างสรรค์กันเข้ามาได้มากน้อยแค่ไหน
นาฬิกาอัจฉริยะรายแรกๆ ที่โด่งดังก่อนใคร คือ Pebble ซึ่งมีจุดเด่นที่หน้าจอเรียบง่ายแต่แบตเตอรี่อยู่ได้นานหลายวัน (เรื่องแบตเตอรี่ถือเป็นจุดอ่อนสำคัญของสินค้าประเภทนี้) ส่วนสินค้าจากผู้ผลิตรายใหญ่ๆ ที่เราเห็นกันบ่อยหน่อย คือ Samsung Gear และ Sony SmartWatch ที่ทำตลาดในบ้านเราแล้วทั้งคู่
ระบบปฏิบัติการ Android Wear ของกูเกิลก็อยู่ในกลุ่มนี้เช่นกัน มีผู้ผลิตประกาศเข้าร่วมแล้ว 3 ราย คือ ซัมซุง แอลจี โมโตโรลา สินค้ากลุ่มนี้น่าจะเข้ามาขายในไทยในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
จุดเด่นของสินค้าตระกูลนาฬิกาอัจฉริยะ คือหน้าจอค่อนข้างใหญ่ ทำอะไรได้ค่อนข้างเยอะ เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้ โหลดแอพได้ บางรุ่นถ่ายรูปได้ แต่จุดด้อยคือขนาดยังดูเทอะทะ และแบตเตอรี่อยู่ได้ไม่นานนัก (ยิ่งจอใหญ่แบตยิ่งอยู่น้อย)
2) สายรัดข้อมืออัจฉริยะ (Smart Band)
สินค้ากลุ่มสายรัดข้อมืออัจฉริยะมักไม่มีหน้าจอ หรือถ้ามีก็เป็นหน้าจอเล็กๆ แค่พอบอกเวลาได้เท่านั้น หน้าที่ของมันจะต่างไปจากสินค้ากลุ่มแรกที่เน้นฟังก์ชั่นการทำงานหวือหวา แต่สายรัดข้อมือมักใช้สำหรับตรวจวัดค่าต่างๆ ของร่างกาย เช่น การเผาผลาญแคลอรี สภาพการนอน นับก้าวเดิน ฯลฯ โดยเก็บข้อมูลสถิติไว้ในสายรัดข้อมือ จากนั้นค่อยนำมาประมวลผลในสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์ต่อไป เพื่อให้เจ้าของสามารถรับทราบสถานะของร่างกายตัวเองได้ว่าแข็งแรงหรือไม่ ฟิตแค่ไหน
สินค้ากลุ่มนี้จึงเน้นไปที่คนรักสุขภาพและฟิตเนสเป็นหลัก ข้อดีของมันคือขนาดเล็กกะทัดรัด แบตเตอรี่อยู่ได้นานมาก ข้อเสียก็กลับกันคือทำงานได้ไม่เยอะมากนัก และจำกัดเฉพาะฟังก์ชั่นที่ผู้ผลิตให้มาซะเป็นส่วนใหญ่
ตัวอย่างสินค้ากลุ่ม Smart Band ในท้องตลาดก็มีหลายราย เช่น Jawbone Up, Fitbit, Sony SmartBand, Samsung Gear Fit, Garmin Vivofit, Nike+ FuelBand เป็นต้น
3) แว่น-อุปกรณ์สวมหัว (Smart Glass)
...
สินค้ากลุ่มสุดท้ายค่อนข้างแตกต่างจากสองกลุ่มแรกเพราะใช้สวมหัว แทนที่จะเป็นการสวมข้อมือครับ
สินค้ากลุ่มสวมหัวค่อนข้างมีความแตกต่างกันสูง ตัวที่คนรู้จักกันเยอะๆ คือ Google Glass ของกูเกิลที่เป็นแว่นมีจอภาพเพียงข้างเดียวเอาไว้แสดงข้อมูลต่างๆ เป้าหมายของกูเกิลคือทดลองแสดงข้อมูลสารสนเทศให้ผู้ใช้เห็นตลอดเวลาไม่ว่าจะไปที่ไหน ซึ่งในมุมกลับก็เริ่มมีร้านค้าหรือร้านอาหารหลายแห่งเริ่ม “แบน” การใช้ Google Glass บ้างแล้ว เพราะกลัวเรื่องความเป็นส่วนตัวจากกล้องถ่ายภาพที่ติดอยู่กับ Glass นั่นเอง
นอกจาก Google Glass ที่เป็น “แว่นสำหรับใส่ไปข้างนอก” แล้ว ในวงการไอทีก็เริ่มสนใจ “แว่นที่ใส่อยู่กับที่” เพื่อสร้างโลกเสมือนจริงขึ้นมาบนจอภาพที่ติดกับแว่น ผู้ใช้สวมหัวเข้าไปแล้วจะไม่เห็นสภาพโลกภายนอกเลย แต่จะเห็นสภาพแวดล้อมจำลองผ่านหน้าจอของแว่นลักษณะนี้แทน (แน่นอนว่าเหมาะสำหรับการเล่นเกมเป็นอย่างมาก)
แว่นแบบหลังเรียกว่า Virtual Reality หรือ VR โดยบริษัทที่โด่งดังที่สุดเป็นบริษัทสตาร์ตอัพหน้าใหม่ชื่อ Oculus VR แต่บริษัทไอทีใหญ่ๆ อย่างโซนี่และซัมซุงก็ประกาศทำแว่นลักษณะนี้เช่นกัน