สัปดาห์นี้ผมขอเขียนถึง "โซนี่" บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ใหญ่ของโลก ที่กำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขันมากขึ้นทุกวัน ...

เมื่อสัก 10-20 ปีก่อน เราคงมีภาพจดจำ "โซนี่" ในฐานะยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น ที่มีธุรกิจเยอะแยะมากมาย ผลิตภัณฑ์โดดเด่น คุณภาพสูง (ราคาก็สูงตามไปด้วย) แต่ด้วยสภาพตลาดที่เปลี่ยนไปของวงการไอทีและอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้สภาพ "เบอร์ 1 ตลอดกาล" ของ โซนี่ ต้องล่มสลายอย่างรวดเร็ว

ธุรกิจที่เคยเป็นหน้าเป็นตาของโซนี่มาโดยตลอด คือ "ทีวี" กลับกลายเป็นธุรกิจที่ทำให้โซนี่ขาดทุนมหาศาล ในขณะที่ธุรกิจคอมพิวเตอร์แบรนด์ VAIO ก็ไปไม่รอดในทางธุรกิจ จนต้องตัดส่วนขายทิ้งให้กับบริษัทลงทุนของญี่ปุ่น มาดำเนินกิจการต่อ

ผมคิดว่า เหตุผลสำคัญที่ทำให้ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์บางประเภทของโซนี่มีปัญหา แบ่งได้ออกเป็น 2 ประเด็นใหญ่ๆ ดังนี้ครับ

อย่างแรกคือ สินค้าสายเครื่องใช้ไฟฟ้า หรืออิเล็กทรอนิกส์สายญี่ปุ่น โดนตีตลาดโดยสินค้าเกาหลีและจีนที่ราคาต่ำกว่ากันมาก (แต่คุณสมบัติไม่ต่างกันนัก) การใช้ฐานการผลิตในญี่ปุ่น บวกกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินเยน ทำให้สินค้าญี่ปุ่นไม่สามารถแข่งขันในเรื่องราคาได้ (ปัญหานี้แบรนด์ญี่ปุ่นเป็นกันหมด ไม่ใช่เฉพาะโซนี่)

อย่างที่สอง พฤติกรรมการใช้งานสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เปลี่ยนไป จากเดิมที่เราซื้อทีวี หรือคอมพิวเตอร์มาใช้งานด้วยตัวมันเองเพียงลำพัง ก็เปลี่ยนมาเป็นอุปกรณ์ที่ต่อเน็ต หรือมีจุดเด่นที่ฝั่งซอฟต์แวร์มากขึ้น ตัวอย่างที่ชัดเจน คือ เครื่องเล่นเพลงพกพา จากเดิมที่เราซื้อ Sony Walkman มาเล่นเทปหรือซีดีโดยไม่ต้องต่อเชื่อมกับใคร ก็เปลี่ยนมาเป็นโมเดลแบบ iPod ที่ต้องโอนถ่ายเพลงด้วยคอมพิวเตอร์หรือซื้อเพลงผ่านอินเทอร์เน็ต

ปัญหา คือ แบรนด์ฝั่งญี่ปุ่นทำซอฟต์แวร์ หรือบริการออนไลน์ไม่เก่งเท่าฝรั่ง ในขณะที่ฝั่งฮาร์ดแวร์ที่ทำเก่ง ก็กลับไม่ค่อยมีมูลค่าเหมือนเดิมแล้ว ทำให้ธุรกิจมีปัญหา

ด้วยสภาพตลาดที่เปลี่ยนไปนี้ เราจึงเห็นโซนี่ฝั่งอิเล็กทรอนิกส์เริ่มเป๋ ต้องยุบสายการผลิต ขายโรงงาน หรือขายกิจการบางอย่างที่ไม่ทำกำไรออกไป

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจของโซนี่มีหลากหลายมาก บางหน่วยธุรกิจยังไปได้ดี ดังนั้น โซนี่ยังไม่ตายง่ายๆ หรอกครับ ในแง่สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อันที่ยังไปได้ดี คือ เครื่องเล่นเกมตระกูล PlayStation, ธุรกิจกล้องถ่ายภาพ และธุรกิจโทรศัพท์มือถือ (ที่ไม่โดดเด่นเท่ากับ ซัมซุง แต่ก็ดีกว่าเดิมมาก) พวกนี้ยังไปรอด เพียงแต่รายได้อาจไม่พอชดเชยส่วนที่สูญเสียไปจากธุรกิจแบบเดิมๆ

นอกจากนี้ โซนี่ ยังมีธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่อิเล็กทรอนิกส์อีกเยอะ เช่น ธุรกิจการเงินและประกันภัย ที่ยังทำรายได้มหาศาลในญี่ปุ่น หรือธุรกิจด้านสื่อและบันเทิง อย่างค่ายภาพยนตร์ หรือค่ายเพลงดังๆ ในสหรัฐฯ หลายค่าย พูดง่ายๆ ว่า โซนี่ไม่เจ๊งแน่ เพียงแต่อาจไม่ยิ่งใหญ่สุดๆ เหมือนสมัยก่อน

ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของโซนี่ คือ มีธุรกิจจำนวนมาก สามารถต่อยอดกันได้สารพัด แต่ในการดำเนินงานจริง บริษัทลูกแต่ละแห่งกลับยังทำงานแบบตัวใครตัวมัน ไม่ค่อยยุ่งกันนัก แถมยังมีวัฒนธรรมองค์กรที่มีความเป็นญี่ปุ่นสูง อาจไม่เข้าใจบริบทการทำงานในภูมิภาคอื่นๆ ของโลกมากนัก (ลองนึกถึงปัญหากรณีว่าวิศวกรสัญชาติอื่นๆ ไม่มีความสำคัญเท่ากับวิศวกรญี่ปุ่นที่สำนักงานใหญ่ แม้จะมีความสามารถใกล้เคียงกันดูสิครับ)

ผมคิดว่า โซนี่จะต้องเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่านไปอีกสักระยะหนึ่ง ยอมทิ้งธุรกิจที่ไม่ทำกำไร (แม้จะเป็นหน้าเป็นตาของบริษัท) ออกไป และปรับสินค้า หรือผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับโลกยุคใหม่มากขึ้น นอกจากนี้ ก็ยังต้องปรับปรุงวัฒนธรรมองค์กรให้มีความเป็นนานาชาติสูงขึ้น เพื่อให้ดึงแรงงานเก่งๆ จากทั่วโลกมาร่วมงานได้ง่ายกว่าเดิม

ความหวังของโซนี่ตอนนี้ คือ ซีอีโอคนปัจจุบัน คาสึโอะ ฮิราอิ ที่เพิ่งรับตำแหน่งเมื่อปี 2012 ถึงแม้จะเป็นคนญี่ปุ่น แต่เขาจบการศึกษาจากอเมริกา มีความเข้าใจโลกตะวันตกเป็นอย่างดี และมีประสบการณ์คุมธุรกิจวิดีโอเกม ที่ถือเป็นธุรกิจยุคใหม่ของบริษัทมาก่อน น่าจะเป็นพื้นฐานที่ดีในการผลักดันองค์กรไปสู่สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในยุคหน้าได้


มาร์ค Blognone

...