"ทีวีพูล" เปิดฉากประกาศสู้ศึกทีวีดิจิตอล จับมือโพสต์พับลิชชิ่ง ผลิตข่าวให้ช่อง THV วันละ 6 ชม. ทำสัญญาแบบเอ็กซ์คลูซีพ "ติ๋ม ทีวีพูล" มั่นใจ ขึ้นแท่นเป็นเบอร์ 1 ในอีก 5 ปี...
ผู้บริหารบริษัท ไทยทีวี จำกัด หรือ ทีวีพูล ผู้ชนะการประมูลทีวีดิจิตอลประเภทช่องรายการข่าวและสาระ ลงนามกับผู้บริหารของบริษัท โพสต์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ในบันทึกสัญญาการเป็นผู้ผลิตข่าวแต่เพียงผู้เดียว ให้กับช่อง ไทยทีวี หรือ THV
นางพันธุ์ทิพา สกุณต์ไชย ประธานกรรมการบริหารบริษัท ไทยทีวี กล่าวว่า สัญญาระหว่างโพสต์และไทยทีวี มีอายุ 5 ปี โดยโพสต์รับหน้าที่ผลิตข่าวหลักให้ช่องไทยทีวี รวม 6 ชั่วโมง หรือคิดเป็นร้อยละ 20 ของสัดส่วนข่าวทั้งหมด จากร้อยละ 50 ตามที่ กสทช. กำหนด ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 30 ไทยทีวี จะผลิตเอง เป็นข่าวบันเทิงตามที่ถนัด ข้อตกลงของทั้งสองบริษัท ใช้วิธีการแบ่งรายได้ โดยโพสต์จะเป็นผู้หาโฆษณาเอง
นางพันธุ์ทิพา กล่าวว่า ในส่วนของไทยทีวีจะลงทุนผลิตคอนเทนต์ รวม 1,000 ล้านบาท เป็นรายการบันเทิงและวาไรตี้ แบ่งเป็นงบสำหรับผลิตละคร 400-500 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออาจจะซื้อรายการจากต่างประเทศ เชื่อว่าด้วยจุดแข็งด้านคอนเทนต์บันเทิงและข่าวจากโพสต์ทีวี จะทำสามารถแข่งขันได้ตลาดจนได้รับความนิยมเทียบเท่าช่อง 3 และช่อง 7
“ช่องไทยทีวีกำหนดราคาสปอตโฆษณาไม่ได้ต่ำกว่าช่องอะนาล็อก เรากะจะตีเมืองใหญ่ไม่ได้ตีเมืองเล็ก ซึ่งมั่นใจว่าจะทำได้” นางพันธุ์ทิพา กล่าว
ทั้งนี้ ปีแรกของการดำเนินธุรกิจช่องไทยทีวี คาดว่าจะมีรายได้ 2,000 ล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ต่อปี หรือ 10,000 ล้านบาท ในอีก 5 ปี
...
ในส่วนของรายการร่วมผลิตในช่องฟรีทีวีในระบบอะนาล็อก ล่าสุด ได้ยกเลิกสัญญาและยุติการออกอากาศแล้ว ส่วนในระบบทีวีดาวเทียมจะยุติการออกอากาศภายในสิ้นเดือน มี.ค. นี้
ด้านนายศุภกรณ์ เวชชาชีวะ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท โพสต์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ข่าวของโพสต์จะมีจุดแข็งที่มุมการนำเสนอ ความรวดเร็ว และแม่นยำ คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 500 ล้านบาท หรือร้อยละ 25 ของรายได้ช่องไทยทีวี นอกจากนี้ ยังวางแผนจะผลิตรายการกีฬา ผู้หญิง ท่องเที่ยว และซื้อแพลตฟอร์มจากต่างประเทศ เพื่อป้อนช่องรายการต่างๆ ที่มีคอนเซปต์ของช่องตรงกับรายการ
ขณะที่รายการร่วมผลิตกับช่องฟรีทีวีต่างๆ หลังจากที่หมดสัญญาแล้ว ไม่ได้มีการต่อสัญญาร่วมผลิตแต่อย่างใด นอกจากนี้ ในอีก 5 ปีข้างหน้า บริษัทจะมีรายได้ในส่วนของทีวีเพิ่มเป็นร้อยละ 40 จากร้อยละ 10 ในปัจจุบัน.