Galaxy Z Flip 4 เป็นสมาร์ทโฟนที่ซัมซุง (Samsung) ตั้งความหวังไว้สูง โดยมีเหตุปัจจัยจากการที่ Galaxy Z Flip 3 ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

จากการเปิดเผยของบริษัทวิจัยตลาด ระบุว่า Galaxy Z Flip 3 และ Galaxy Z Fold 3 มียอดขายรวมกันที่ 7.1 ล้านเครื่อง โดยที่ยอดขายส่วนใหญ่มาจาก Galaxy Z Flip 3 ซึ่งไม่น่าแปลกใจ เพราะ Galaxy Z Flip 3 ทำราคาได้ดีจริงๆ ส่วน Galaxy Z Fold 3 มีระดับราคาที่แพงเกินเอื้อมอยู่มาก

หนึ่งปีผ่านไป การมาของ Galaxy Z Flip 4 ก็มีความพยายามที่จะพัฒนาจากรุ่นก่อน ซึ่งมีทั้งส่วนที่พัฒนาได้ดี และส่วนที่ยังต้องพยายามต่อไป

แต่เมื่อถามว่า ถึงที่สุดแล้วสมาร์ทโฟนจอพับอย่าง Galaxy Z Flip 4 เข้าใกล้หรือใกล้เคียงความสมบูรณ์แบบในด้านการใช้งานหรือการออกแบบอย่างที่เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้วกับสมาร์ทโฟนทั่วไป ก็คงต้องบอกว่า ยังห่างไกลจากจุดนั้นมาก

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องยอมรับก็คือ ซัมซุง มีความกล้าที่จะพัฒนาสมาร์ทโฟนรูปแบบใหม่ๆ ซึ่งต้องผ่านการศึกษา และทดลองอย่างหนัก ก่อนที่จะพร้อมวางจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ จนออกมาเป็น Galaxy Z Flip 4 และรุ่นก่อนหน้านี้

การมาของ Galaxy Z Flip 4 ในประเทศไทย ตั้งราคาเริ่มต้นไว้ที่ 35,900 บาท แพงกว่ารุ่นก่อนหน้า 1 พันบาท

พกพาง่าย แต่ใช้มือเดียวไม่ได้

สิ่งที่ดึงดูด Galaxy Z Flip 4 มากที่สุดปฏิเสธไม่ได้เลยนั่นก็คือ เรื่องของการออกแบบ เพราะ Galaxy Z Flip 4 มีจุดขายตรงที่พับได้ มีหน้าจอทั้งด้านใน และด้านนอก

ในเวลาเดียวกัน การออกแบบที่ว่านี้ทำให้ผู้ใช้งานพกพาได้ง่าย สะดวก ซึ่งจุดนี้มาจากการออกแบบที่คิดมาเป็นอย่างดีของซัมซุง เพราะการพับสมาร์ทโฟนลงเหลือครึ่งหนึ่ง มันง่ายต่อการพกพาจริง และถือได้ง่ายอีกด้วย

...

เป็นความจริงอยู่ว่า การออกแบบของ Galaxy Z Flip 4 จะเหมือนเดิมจากรุ่นก่อนหน้า เพียงแต่ว่ามันก็ยังคงเป็นมือถือที่ดูแฟชั่นสุดๆ มีคุณสมบัติที่แข็งแกร่งมากในเรื่องของการพกพา กะทัดรัด หย่อนได้ทั้งในกระเป๋าเป้ของผู้ชาย กระเป๋าสะพายของผู้หญิง หรือแม้แต่กางเกงยีนส์ที่มีความจุของกระเป๋ากางเกงที่ไม่มีมากนัก ก็ทำได้อย่างสบาย อีกทั้งเมื่อเราหย่อน Galaxy Z Flip 4 ยังเหลือพื้นที่พอที่จะหย่อนหูฟังทรูไวร์เลส หรือแม้แต่เจลล้างมือได้อีกด้วย

ในทางกลับกัน การออกแบบของ Galaxy Z Flip 4 ก็มีข้อเสียในตัว จากความกังวลว่า มือถือจะสไลด์หลุดออกจากกระเป๋ากางเกงขณะที่กำลังนั่งหรือไม่ โดยเฉพาะเวลาที่ใส่กางเกงที่เป็นผ้าฟลีซ (Fleece) และกางเกงผ้าโพลีเอสเตอร์ ต้องคอยหมั่นเช็กมือถือบ่อยครั้ง กลายเป็นความกังวลที่เกิดขึ้นเสียทุกครั้งไป

แน่นอนว่า Galaxy Z Flip 4 ก็ยังไม่ได้อยู่ในจุดที่ “สมบูรณ์แบบ” เพราะเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้บริโภคจำนวนอีกไม่น้อย ไม่ได้ชื่นชอบรอยพับที่อยู่ตรงกลางจอ ซึ่งมันขัดกับความคุ้นชินของสมาร์ทโฟนทั่วไป ที่หน้าจอเรียบเนียน ไม่มีรอยพับที่เห็นได้เด่นชัดขนาดนี้ แต่ในความเห็นส่วนตัวก็ไม่ได้คิดว่า รอยพับ เป็นปัญหาต่อการใช้งานสักเท่าไร

นอกจากนี้ การใช้งานในรูปแบบของมือถือจอพับ ยังส่งผลต่อความรู้สึกในการใช้งานอีกด้วย ก็คือพอมันเป็นจอพับ มันชวนทำให้เกิดความรู้สึกขี้เกียจที่จะใช้งาน ถ้าหากไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนใดๆ เช่น การตอบอีเมล หรือการตอบแชตที่สำคัญ เพราะเวลาใช้งาน Galaxy Z Flip 4 ต้องเปิดฝาพับขึ้นมา นอกจากนี้ มันยังเป็นมือถือที่ใช้งานมือเดียวไม่ได้ เพราะการจะเปิดฝาพับขึ้นมาต้องใช้มือหนึ่งประคอง อีกมือหนึ่งเปิดใช้งาน ครั้นจะสะบัดข้อมือเพื่อให้จอมันเปิดขึ้นมาก็ทำแบบนั้นไม่ได้

สำหรับความทนทานของการพับของ Galaxy Z Flip 4 ยังคงเป็นปริศนาว่า มันจะทนทานต่อการพับครั้งแล้วครั้งเล่าต่อการใช้งานในวันหนึ่งๆ ได้อีกนานแค่ไหน นับเป็นเรื่องที่ยากจะหาคำตอบ

...

น่าเสียดายความละเอียดจอเท่าเดิม

Galaxy Z Flip 4 มาพร้อมกับความละเอียดจอด้านในที่ 1080 x 2640 พิกเซล ขณะที่จอคัฟเวอร์อยู่ที่ 260 x 512 พิกเซล ซึ่งไม่ว่าจะเป็นจอด้านนอกหรือด้านในก็มีความละเอียดเท่ากับ Galaxy Z Flip 3

ในช่วงก่อนหน้าที่จะเปิดตัว Galaxy Z Flip 4 มีความคาดหวังว่า ซัมซุงน่าจะเพิ่มความละเอียดหน้าจอ แต่ในที่สุดแล้วก็ไม่เป็นไปตามนั้น ก็น่าผิดหวังนิดหน่อย แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่า การที่ซัมซุงเลือกความละเอียดหน้าจอเท่าเดิม เพื่อให้สอดคล้องกับความจุของแบตเตอรี่

เมื่อพูดถึงหน้าจอคัฟเวอร์ ซึ่งมีขนาดหน้าจอ 1.9 นิ้ว คงต้องบอกว่า ความสามารถมีจำกัด แต่มีประโยชน์หรือไม่ก็คงต้องบอกว่า มี เพราะมันช่วยให้เราไม่ต้องเปิดหน้าจอ โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องการอ่านแค่ว่า มีการแจ้งเตือนใดบ้าง

...

ขณะเดียวกัน ถ้าเราไม่ได้สวมนาฬิกาเอาไว้ บริเวณจอคัฟเวอร์ของ Galaxy Z Flip 4 สามารถแสดงผลเวลาและวันที่ เพียงแค่แตะเบาๆ หนึ่งครั้ง นอกจากนี้ ยังเป็นพื้นที่แสดงผลในส่วนงานที่ต้องทำในวันนั้น, ปฏิทิน หรือตารางนัดหมายอื่นๆ ถือว่าสะดวกมาก ซึ่งผู้ใช้งานเลือกปรับแต่งจากวิดเจ็ตได้ตามความสะดวก

ในภาพรวมหน้าจอคัฟเวอร์ที่อยู่ด้านนอกของ Galaxy Z Flip 4 มันก็คือ สมาร์ตวอตช์ขนาดเล็กแบบที่ไม่ต้องผูกที่ข้อมือนั่นเอง

แบตเตอรี่อึดขึ้น

Galaxy Z Flip 4 มาพร้อมกับขนาดแบตเตอรี่ 3,700 mAh มากกว่า Galaxy Z Flip 3 ที่ 400 mAh แน่นอนว่า แบตเตอรี่ที่เพิ่มขึ้น มันพอการันตีได้ว่า สามารถใช้งานได้ตัวเครื่องได้นานกว่ารุ่นก่อน ซึ่งก็เป็นไปได้ตามนั้น แบตเตอรี่ของ Z Flip 4 อึดขึ้นจริงๆ ดังที่ว่าไว้

ระหว่างการใช้งาน Galaxy Z Flip 4 แอปพลิเคชันหลักที่ใช้งานเป็นโซเชียลมีเดีย, วิดีโอสตรีมมิง, ยูทูบ รวมถึงการถ่ายภาพอีกเล็กน้อย ทุกครั้งที่ใช้งานได้ตั้งค่า Motion smoothness แบบ Adaptive 120Hz เอาไว้ตลอดเวลา

ผลลัพธ์ที่ได้ แบตเตอรี่เหลืออยู่ที่ประมาณ 18 เปอร์เซ็นต์

...

ข้อดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ การชาร์จแบตเตอรี่ของ Galaxy Z Flip 4 ทำได้ไวมาก โดยการชาร์จผ่านอแดปเตอร์ USB-C ที่แถมมากับ MacBook Air M1 2020 ถ้าหากแบตเตอรี่เหลือสัก 30-40 เปอร์เซ็นต์ สามารถชาร์จเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ได้ในเวลาราว 50 นาทีเท่านั้น ถือว่าน่าประทับใจ

การถ่ายภาพ

ในภาพรวมการถ่ายของ Galaxy Z Flip 4 ทำได้น่าประทับใจ จากการที่มีเซนเซอร์ของกล้องที่ดี ซอฟต์แวร์ประมวลผลภาพของซัมซุง ก็ทำได้ดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดยยังคงให้รายละเอียดที่สำคัญ แม้ว่ากล้องหลังจะมีความละเอียดแค่ 12 ล้านพิกเซล

Flex Mode

นี่คือของใหม่แกะกล่องจาก Galaxy Z Flip 4 ที่ไม่มีใน Galaxy Z Flip 3 หลักการของมันก็คือ เมื่อเราหักหน้าจอลงมาครึ่งหนึ่ง เราก็สามารถใช้ฟีเจอร์ที่มีชื่อว่า Flex Mode ซึ่งมันก็ช่วยการทำงานที่หลากหลายทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นขาตั้งกล้องช่วยในการถ่ายภาพ การถ่ายเซลฟี่ ถ่ายวิดีโอ ทำได้หมด

ในอีกแง่หนึ่ง เมื่อเราใช้ Flex Mode ในเวลาที่ล้างหน้า แปรงฟันในตอนเช้า หรือตอนกลางคืน ระหว่างการทำอาหารแต่ละมื้อ หน้าจอของ Galaxy Z Flip 4 ในโหมดของ Flex Mode มันทำให้เราดูคอนเทนต์จากยูทูบได้ง่ายและสะดวก เพียงแค่เอียงมุม เอียงองศา เท่านั้นพอ ก็ดูคลิปจากยูทูบได้แล้ว

ในด้านอื่นๆ ของ Flex Mode Panel ก็ดูจะไม่ค่อยมีประโยชน์สักเท่าไร แม้ว่าเราจะสามารถใช้ครึ่งล่างของหน้าจอสำหรับเป็น Trackpad หรือใช้ในการตั้งค่าต่างๆ แต่ก็แทบไม่ส่งผลต่อการใช้งานจริงแต่อย่างใด

สรุป

Galaxy Z Flip 4 มีราคาแพงขึ้นจากรุ่นก่อน 1 พันบาท ซึ่งพอเข้าใจได้จากบริบทหลายอย่างที่ทำให้การตั้งราคาของรุ่นนี้ต้องแพงขึ้น ทั้งจากปัญหาชิปเซตขาดแคลน รวมถึงเรื่องของเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้

ในด้านการออกแบบ Galaxy Z Flip 4 ยังคงเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือลูกเล่นต่างๆ และสีตั้งต้นอย่าง Bora Purple ทำได้น่าสนใจ ไปจนถึงการซื้อตัวเครื่องในเวอร์ชัน BeSpoke ทำให้รุ่นนี้อยู่ในเรดาร์ของความน่าสนใจ โดยเฉพาะคนที่อยากปรับแต่งมือถือที่ตรงกับตัวเองมากที่สุด (เท่าที่จะเป็นไปได้)

การใช้งานทำได้ง่าย พกพาง่าย เก็บง่าย มีพื้นที่เหลือสำหรับอุปกรณ์อื่นๆ หากคุณใส่ Galaxy Z Flip 4 ไว้ในกระเป๋ากางเกง แต่อาจมีปัญหาในเรื่องของการใช้งานที่ไม่สามารถใช้มือเดียว รวมถึงความน่ากังวลว่ามันจะหลุดออกจากกระเป๋ากางเกง

ส่วนเรื่องรอยพับตรงกลางหน้าจอ ก็แบ่งออกเป็นสองฝ่าย เพราะฝ่ายที่ไม่ได้คิดมากกับรอยพับตรงหน้าจอก็มี ส่วนฝ่ายที่คิดว่า รอยพับบนหน้าจอเป็นปัญหาก็ไม่น้อย ซึ่งขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้ใช้งานว่าจะคิดอย่างไรกับส่วนนี้

พร้อมกันนี้ การใช้งานของ Galaxy Z Flip 4 จากฟังก์ชันการใช้งานที่เรียกว่า Flex Mode มันใช้งานได้จริง และเป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เช่นเดียวกับแบตเตอรี่ ซึ่งให้มาเยอะ และทำได้ดีกว่ารุ่นก่อน แม้จะต้องแลกมากับความละเอียดหน้าจอที่เท่าเดิมก็ตาม

สรุปแล้ว Galaxy Z Flip 4 เป็นมือถือที่ผู้บริโภคต้องชั่งใจหนักอยู่ไม่น้อย เพราะด้านหนึ่ง ตัวเครื่องมีฟีเจอร์ที่ใช้งานได้จริง มีการออกแบบที่ดี และน่าสนใจ แต่ต้องแลกมากับราคาที่เทียบเท่ากับมือถือเรือธง เพียงแต่ Galaxy Z Flip 4 ถูกตัดทอนสเปกออกไปมากพอสมควร อีกทั้งยังมีประเด็นที่ต้องคิดให้หนัก นั่นคือ ความคงทนของฝาพับ ซึ่งยังเป็นเครื่องหมายคำถาม