Galaxy Z Fold 4 เรือธงของซัมซุงมาแล้ว โดยยกระดับด้านการถ่ายภาพ และมีการออกแบบใหม่เล็กน้อยซึ่งเน้นความคงทน รวมถึงการทำงานแบบมัลติทาสก์
Galaxy Z Fold 4 ถือเป็นสมาร์ทโฟนระดับสูงที่สุดของซัมซุงแล้วในเวลานี้ ดังนั้นแล้ว สเปกเครื่องและความสามารถจึงอัดแน่นในสมาร์ทโฟนรุ่นนี้มากที่สุด เริ่มตั้งแต่การใช้เฟรมอะลูมิเนียมที่ทนทานต่อการตกหล่นและรอยขีดข่วน โดยที่จอแสดงผลด้านนอกและแผงด้านหลังใช้ Gorilla Glas Victus+
ขนาดหน้าจอของ Galaxy Z Fold 4 ในส่วนที่เป็นจอด้านนอกมีขนาด 6.2 นิ้ว ความละเอียด 904 x 2316 พิกเซล ซึ่งจอเป็นแบบ Dynamic AMOLED 2X รองรับรีเฟรชเรต 120Hz
จอด้านในขนาด 7.6 นิ้ว ความละเอียด 1812 x 2176 พิกเซล เป็นแบบ Foldable Dynamic AMOLED 2X รองรับรีเฟรชเรต 120Hz เช่นกัน
ทางด้านชิปเซตใช้ Qaulcomm Snapdragon 8+ Gen 1 ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 12L ครอบด้วย One UI 4.1.1 ทางด้านการอัปเดตระบบปฏิบัติการจะได้การันตีอัปเดตนาน 4 ปี และแพตช์ความปลอดภัยอีก 5 ปี
ทางด้านฟีเจอร์ ซัมซุงได้เพิ่มความสามารถที่เรียกว่า Flex Mode Touchpad ซึ่งทำงานคล้ายกับแทร็คแพด (Trackpad) นอกจากนี้การใช้งานมัลติทาสกิ้งยังให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้นจากการสั่งงานด้วยท่าทางแบบใหม่ด้วยการปัดหน้าจอ (Swipe Gestures) เปลี่ยนแอปพลิเคชันที่แสดงผลแบบเต็มหน้าจอไปเป็นหน้าต่างป๊อปอัป หรือแบ่งครึ่งหน้าจอของคุณเพื่อใช้คุณสมบัติมัลติทาสก์ (Multitask) วิธีอื่นๆ อีกมากมาย
...
ต่อมาเป็นแบตเตอรี่ให้มาที่ 4,400 mAh ซึ่งน่าจะทำให้ใช้งานได้นานขึ้น อีกทั้งชิปเซต Qaulcomm Snapdragon 8+ Gen 1 ก็น่าจะช่วยให้การบริโภคแบตเตอรี่ลดลง
จุดแข็งของ Galaxy Z Fold 4 อีกด้านหนึ่งก็คือเรื่องของการถ่ายภาพ โดยกล้องหลักมีความละเอียด 50 ล้านพิกเซล มีกล้องเทเลความละเอียด 10 ล้านพิกเซล กล้องอัลตราไวด์ 12 ล้านพิกเซล กล้องหน้า 4 ล้านพิกเซล และกล้องคัฟเวอร์ด้านหน้า 10 ล้านพิกเซล
การตั้งราคาของซัมซุงในรุ่น Galaxy Z Fold 4 ในต่างประเทศยังขายในราคาเดิมที่ 1,799 ดอลลาร์สหรัฐ ในส่วนราคาประเทศไทยอยู่ที่ 59,900 ในรุ่น 256 GB และ 65,900 ในรุ่น 512 GB วางจำหน่ายตั้งแต่ 2 กันยายน 65 เป็นต้นไป มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีเขียว Graygreen, สีเบจ และสีดำ Phantom Black