นักพัฒนาแอปพลิเคชันบนแพลตฟอร์ม Virtual reality ของเมตา (Meta) แสดงความไม่พอใจ หลังมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสูงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ทั้งที่เฟซบุ๊กก็เคยไม่พอใจการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจำนวนเดียวกันจากแอปเปิล (Apple)

เมตา ซึ่งเคยประกาศว่า เมตาเวิร์ส (Metaverse) คืออนาคตของพวกเขา โดยแต่ละปีมีการลงทุนเป็นจำนวนเงินหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ การลงทุนส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการสร้างระบบนิเวศ หรือ Ecosystem ให้กับเมตาเวิร์ส

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เมตา ต้องการจับตลาดเมตาเวิร์สก่อนใคร นั่นเป็นเพราะว่า แพลตฟอร์มนี้ยังไม่มีใครเป็นเจ้าของตลาด ไม่เหมือนกับธุรกิจสมาร์ทโฟน ซึ่งมีแอปเปิล และกูเกิล (Google) เป็นผู้ควบคุมตลาด

การที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีได้นั้น เมตา ต้องการความร่วมมือจากนักพัฒนาภายนอก มาช่วยสร้างแอปพลิเคชันเพื่อให้ระบบนิเวศทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เคลื่อนที่ไปพร้อมกัน

อย่างไรก็ดี ก็มีปัญหาเกิดขึ้น เมื่อนักพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับ Virtual reality เริ่มส่งเสียงแสดงถึงความไม่พอใจบ้างแล้ว เพราะเมตา ในฐานะเจ้าของแพลตฟอร์ม Quest Store ได้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมนักพัฒนาแอปพลิเคชันมากถึง 15-30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตัวเลขเดียวกันนี้ ก็คือตัวเลขเดียวกับที่ เมตาเคยแสดงความไม่พอใจจากการที่ถูกกูเกิลและแอปเปิลเรียกเก็บค่าธรรมเนียมบนแพลตฟอร์ม iOS และ Android

ขณะที่ นักพัฒนาแอปพลิเคชันบน Quest Store บางส่วนก็บอกว่า ประสบการณ์การใช้งานบน Quest Store ไม่ดีเอาเสียเลย และการจัดการแย่ก็แย่กว่า iOS และ Android อีกด้วย

ประเด็นนี้ เมตาพยายามบอกว่า แพลตฟอร์ม Quest Store แตกต่างจากแพลตฟอร์มโดยเฉพาะของแอปเปิล เพราะ Quest Store สามารถติดตั้งแอปพลิเคชันจากแพลตฟอร์ม SideQuest ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มของบุคคลที่สาม หรือการดาวน์โหลดผ่าน App Lab ที่มีข้อกำหนดไม่เข้มงวดนักแทนได้

...

อย่างไรก็ตาม จากการเปิดเผยของเซนเซอร์ ทาวเวอร์ ระบุว่า ยอดการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันบน SideQuest จนถึงตอนนี้มีแค่ 3.96 แสนครั้งเท่านั้น ซึ่งตัวเลขนี้เทียบไม่ได้เลยกับยอดดาวน์โหลดบน Quest Store ที่มีมากถึง 19 ล้านครั้ง

สำหรับการพัฒนาฮาร์ดแวร์ Virtual reality และ Augmented reality นอกเหนือจากเมตาแล้ว ในอนาคตอันใกล้ก็น่าจะได้เห็นแอปเปิลลงมาเล่นตลาดนี้ด้วย ส่วนทางด้านไมโครซอฟท์ (Microsoft) ก็มีแพลตฟอร์ม HoloLens ซึ่งพัฒนามานานหลายปีแล้ว

ที่มา: Financial Times