สหภาพยุโรป หรืออียู (European Union) ประกาศแนวทางการบังคับใช้ให้ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทั้งสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตต้องเปลี่ยนมาใช้ USB-C เป็นพอร์ตมาตรฐาน ซึ่งนั่นส่งผลกระทบต่อ iPhone ซึ่งผลิตโดยแอปเปิล (Apple) เพราะในปัจจุบันพวกเขาใช้พอร์ต Lightning แต่แอปเปิลมีเวลาถึงปี 2024 สำหรับการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับข้อตกลงของสหภาพยุโรป

ตลอดระยะเวลาเกือบสิบปีที่ผ่านมา สหภาพยุโรป ได้มีแนวความคิดที่จะผลักดันให้ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตต้องมีมาตรฐานการชาร์จประเภทเดียวกัน โดยมีเป้าหมายสำคัญ นั่นคือ การประหยัดเงินในกระเป๋าของผู้บริโภค และการลดปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์

หลังจากที่ผลักดันมานาน ในวันอังคารตามเวลาท้องถิ่นของยุโรป คณะกรรมาธิการยุโรป บรรลุข้อตกลงการบังคับใช้พอร์ต USB-C ให้เป็นพอร์ตพื้นฐานสำหรับการชาร์จสมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, อีรีดเดอร์, กล้องดิจิทัล, ชุดหูฟัง, เครื่องเล่นเกมคอนโซล และลำโพงขนาดพกพา

ตัวแทนของสหภาพยุโรป ระบุว่า การบรรลุข้อตกลงดังกล่าว ทำให้ผู้บริโภคประหยัดเงินได้มากกว่า 250 ล้านยูโร พร้อมทั้งยังช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม และหยุดยั้งการสร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์อีกด้วย

การบังคับใช้มาตรฐานใหม่ของสหภาพยุโรปจะเริ่มต้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปี 2024 โดยในระยะเวลาที่เหลือจากนี้ จะเป็นหน้าที่ของบรรดาบริษัทผู้ผลิตที่จะต้องปรับการผลิตให้เข้ากับข้อตกลงใหม่ของสหภาพยุโรป

แน่นอนว่า บริษัทที่มีปัญหากับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของสหภาพยุโรปมากที่สุดก็คือแอปเปิล เนื่องจากสมาร์ทโฟนของพวกเขาอย่าง iPhone และ iPad ในบางรุ่น เช่น iPad 10.2 เวอร์ชันปี 2021 ยังคงใช้พอร์ต Lightning

...

ก่อนหน้านี้มีข่าวมาอย่างต่อเนื่องว่า แอปเปิล มีแนวความคิดที่จะเปลี่ยนจากพอร์ต Lightning มาเป็น USB-C ใน iPhone รุ่นใหม่ในอนาคต ซึ่งจากข้อตกลงใหม่ของสหภาพยุโรป อาจเป็นการบีบบังคับให้แอปเปิลต้องรีบเปลี่ยนมาใช้ USB-C ให้เร็วกว่าตามแผนการที่พวกเขาประเมินไว้ก็เป็นได้

อย่างไรก็ดี อุปกรณ์จำนวนมากของแอปเปิลก็มีการปรับเปลี่ยนไปใช้ USB-C บ้างแล้ว เช่น iPad mini (2021) และ iPad Air (2022)

แอปเปิล พยายามอ้างว่า การที่พวกเขาต้องถูกบังคับให้ใช้ USB-C จะส่งผลร้ายต่อการสรรค์สร้างนวัตกรรมของพวกเขา

สำหรับผู้ผลิตสมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต และหูฟังจากระบบปฏิบัติการ Android ไม่ได้รับผลกระทบในเรื่องนี้มากนัก เพราะส่วนใหญ่ก็ใช้งาน USB-C เป็นพอร์ตหลักอยู่ก่อนแล้ว

ที่มา: Bloomberg