"เศรษฐพงค์" ย้ำ "วงโคจรดาวเทียม" ไม่ใช่อธิปไตยของประเทศใด แนะเปิดเสรีการแข่งขันกิจการดาวเทียม ที่มีความเหมาะสม-สมดุล เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศ
เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 64 พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะอดีตรองประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และอดีตประธานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ได้เขียนบทความเกี่ยวกับกรณีการออกใบอนุญาตประกอบกิจการให้แก่ บริษัท ไทยคม จำกัด เมื่อปี 2555 โดยมีสาระสำคัญที่น่าสนใจ ระบุว่า ภายใต้สนธิสัญญาการใช้งานอวกาศร่วมกัน (The Outer Space Treaty) Article II ซึ่งประเทศไทยได้ลงนามร่วมกับสนธิสัญญาฉบับนี้ตั้งแต่ 27 ม.ค. 2510 หรือ ค.ศ. 1967 มีข้อความว่าในห้วงอวกาศ ซึ่งรวมไปถึงดวงจันทร์, บรรดาดวงดาวต่างๆ วัตถุทั้งหมดที่อยู่ในห้วงอวกาศ ไม่ได้อยู่ภายใต้อธิปไตยหรือการครอบครองโดยประเทศใดประเทศหนึ่ง รวมไปถึงวงโคจรของดาวเทียมพ้องคาบโลก/วงโคจรของดาวเทียมค้างฟ้า ที่อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรของโลกไปเป็นระยะทางมากกว่า 3.5 หมื่นกิโลเมตร ไม่สามารถให้การจัดสรรโดยสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) ให้กับประเทศใดประเทศหนึ่ง
"กล่าวอีกนัยหนึ่งวงโคจรดาวเทียมค้างฟ้าที่ 120 หรือ 78.5 องศาตะวันออก ที่ประเทศไทยได้รับอนุญาตให้ใช้งานจากความเห็นร่วมกันของชา" พ.อ.เศรษฐพงค์ ระบุ
พ.อ.เศรษฐพงค์ ระบุต่อว่า การใช้งานวงโคจรดาวเทียมค้างฟ้านั้น จึงอยู่ภายใต้ข้อตกลงร่วมกันบนพื้นฐาน "ใครมาก่อนได้รับการพิจารณาก่อน (First come First Serve)" เริ่มต้นด้วยการที่ประเทศที่มีความต้องการใช้งานวงโคจรใด จะต้องให้หน่วยงานรัฐที่ทำหน้าที่เป็น ITU Admin สำหรับประเทศไทย คือ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ก่อนจะมาเป็นกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES) ในปัจจุบัน เข้าสู่กระบวนการ Filing โดยมีขั้นตอนการดำเนินการหลายขั้นตอน และต้องประสานงานความถี่กับชาติที่มีวัตถุอวกาศที่อยู่ในข่ายจะได้รับผลกระทบ เมื่อจะส่งดาวเทียมดวงใหม่ขึ้นไปด้วย การดำเนินการทั้งหมด รวมทั้งการส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรจะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน 7 ปี นับแต่วันที่เริ่มกระบวนการ เมื่อกระบวนการ Filing เสร็จสมบูรณ์ ประเทศที่ดำเนินการจะได้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรตามที่ขอไว้ได้
...
"แต่มิได้หมายความว่าสิทธิในวงโคจรนั้น เป็นสิทธิการครอบครองเป็นเจ้าของ หรือปิดกั้นการใช้งานของชาติสมาชิกอื่นๆ ได้ ดังนั้นถ้าชาติสมาชิกอื่นๆ มีความต้องการทำกิจกรรมอวกาศต่างๆ ณ วงโคจรนั้น และไม่กระทบสิทธิการใช้งานของชาติสมาชิก ที่มีวัตถุอวกาศในวงโคจรเดียวกันย่อมสามารถกระทำได้" พ.อ.เศรษฐพงค์ ระบุ
ส่วนข้อสงสัยว่า การประมูลเกี่ยวกับดาวเทียมที่ผ่านมาของประเทศไทยนั้น เป็นวงโคจรดาวเทียมที่ประเทศไทยได้สิทธิเป็นเจ้าของครอบครองอยู่ ที่ถูกจัดสรรโดย ITU นั้น พ.อ.เศรษฐพงค์ อธิบายว่า ตามหลักการสนธิสัญญาการใช้งานอวกาศร่วมกัน ไม่ได้ให้สิทธิประเทศใดประเทศหนึ่งมีอำนาจอธิปไตยเหนือวงโคจรดาวเทียม ดังนั้นวงโคจรดาวเทียมไม่ได้อยู่ใต้สิทธิการครอบครองของประเทศไทยหรือรัฐบาลไทย ด้วยหลักการดังนี้ ประเทศไทย หรือรัฐบาลไทย ไม่สามารถนำวงโคจรดาวเทียมมาประมูลเพื่อหารายได้ให้แก่รัฐ ดังนั้นการประมูลในกิจการดาวเทียมเมื่อปี 2534 เป็นการประมูลเพื่ออนุญาตให้ผู้ชนะได้รับคุ้มครองการผูกขาดเป็นเวลา 8 ปี (ก.ย. 34 - ก.ย. 42) และการอนุญาตประกอบกิจการดาวเทียมสื่อสารเป็นเวลา 30 ปี (ก.ย. 34 - ก.ย. 64) ทั้งนี้ในช่วงเวลานั้นกิจการโทรคมนาคมของประเทศไทยไม่ได้อยู่ในบริบทแห่งการแข่งขันเสรี แต่ยังอยู่ภายใต้กำกับของภาครัฐด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงเป็นหลัก โดยผู้ชนะการประมูลจะต้องมีการดำเนินการดังนี้ ทำข้อเสนอผลประโยชน์ด้านตัวเงิน (Revenue Sharing) จัดเงินประกันรายได้ขั้นต่ำแก่รัฐจำนวน 1,415 ล้านบาท ตลอดอายุสัมปทาน รัฐใช้วงจรดาวเทียมในย่านความถี่ C-Band 1 ทรานสพอนเดอร์ ตลอดอายุสัญญาสัมปทานโดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทน
"การประมูลในกิจการดาวเทียม ก.ย. 64 เป็นการอนุญาตให้ใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมในลักษณะจัดชุด (Package) ที่ได้มีการดำเนินการก่อนภายใต้สัญญาสัมปทานสิ้นสุดลงเมื่อ 10 ก.ย. 64 โดยทั้งนี้ลักษณะจัดชุด (Package) จะประกอบไปด้วยสถานะของสิทธิการเข้าใช้วงโคจร (Filing) ที่ทั้งอยู่ในขั้นตอนสมบูรณ์แล้ว และอยู่ระหว่างดำเนินการ โดยทั้งนี้ผู้ชนะการประมูลต้องดำเนินการ ในการนำดาวเทียมเข้าสู่วงโคจรให้เรียบร้อยตามเวลาที่กำหนด" พ.อ.เศรษฐพงค์ ระบุ
ส่วนมุมมองที่ว่า ประเทศไทยเหมาะหรือไม่กับการประมูลในกิจการดาวเทียม เพราะจะสร้างผลประโยชน์สูงสุดต่อประเทศได้มากกว่า พ.อ.เศรษฐพงค์ ระบุว่า ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เรื่องผลประโยชน์ของประเทศในบริบทการเปิดเสรีกิจการโทรคมนาคมในปัจจุบัน มีความแตกต่างจากผลประโยชน์ของประเทศ ภายใต้การผูกขาดโดยรัฐแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งมุ่งเน้นให้ประโยชน์ที่จะเกิดกับรัฐเป็นหลัก ดังนั้นประโยชน์ของประเทศในกิจการโทรคมนาคมในปัจจุบันต้องสร้างความสมดุลทั้งประโยชน์ของรัฐ ประโยชน์ของอุตสาหกรรมโทรคมนาคม และประโยชน์ของผู้บริโภค การประมูลในกิจการดาวเทียมเดือน ก.ย. 2534 อาจสร้างผลกระทบต่อประโยชน์ของอุตสาหกรรม และประโยชน์ของผู้บริโภค ทั้งนี้เพราะในการกำหนดราคาขั้นต่ำในการประมูลที่เน้นการสร้างรายได้ให้กับภาครัฐสูงสุด แต่ไม่สอดคล้องกับสภาพอุตสาหกรรม เนื่องจากจะเป็นอุปสรรคในการนำดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรภายในระยะเวลาที่กำหนดของ ITU ถ้าไม่สามารถดำเนินการได้ สิทธิการพิจารณาจะย้ายไปอยู่กับประเทศอื่นๆ และถ้าประเทศไทยต้องการกลับมาขอใช้สิทธิวงโคจรนี้อีกครั้งหนึ่ง จะต้องมีค่าใช้จ่ายและเวลาในการดำเนินการ Filing ใหม่
"ในบริบทกิจการโทรคมนาคมของประเทศไทยปัจจุบัน อยู่ภายใต้การเปิดเสรีการแข่งขันที่มีความเหมาะสมและสมดุล จะมีความสำคัญต่อประโยชน์ของผู้บริโภค การลดข้อจำกัดในการเข้าสู่ตลาดการแข่งขันย่อมเป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้นการดำเนินการเพื่อให้ได้สิทธิการใช้งานวงโคจรควรเปิดเสรีให้ผู้ประกอบการรายใดก็ได้ ไม่จำกัดจำนวนผู้เล่นในตลาด นอกเหนือสิทธิ Filing ที่ค้างอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่าน จากการผูกขาดไปสู่การเปิดเสรี ถ้าผู้ประกอบการพิจารณาเห็นว่า วงโคจรอื่นมีความเหมาะสมต่อการดำเนินธุรกิจของตนเอง ก็สามารถมาเริ่มดำเนินการ Filing ด้วยหลักการ "First Come, First Serve" ที่สอดคล้องกับวิธีการดำเนินการของ ITU ซึ่งจะเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศ" พ.อ.เศรษฐพงค์ ระบุ.
...