เสียวหมี่ ประเทศไทย (Xiaomi) เผยปีนี้เติบโตเกินความคาดหมาย มั่นใจเดินมาถูกทางแล้ว เชื่ออุปกรณ์ AIoT มีโอกาสเติบโตได้อีก เพราะเชื่อมโยงกับการใช้ชีวิตของมนุษย์
โจนาธาน คัง ผู้จัดการ เสียวหมี่ ประเทศไทย เปิดเผยว่า แม้ในปี 2021 จะยังไม่สิ้นสุด แต่ก็ถือเป็นปีที่เสียวหมี่ ประสบความสำเร็จในหลายด้าน โดยเฉพาะในด้านนวัตกรรม ซึ่งได้รับการยกย่องจาก MIT Technology Review ให้อยู่ในกลุ่มบริษัทที่ชาญฉลาดที่สุด 50 อันดับแรกของประเทศจีน
ผู้จัดการ เสียวหมี่ ประเทศไทย กล่าวต่อไปว่า ในปี 2021 เสียวหมี่ ได้มีการนำอุปกรณ์ไอทีเข้ามาวางจำหน่ายในไทยเป็นจำนวนมาก ซึ่งแกนหลักของเสียวหมี่อยู่ที่ธุรกิจสมาร์ทโฟน และธุรกิจ AIoT โดยมีสัดส่วน 90 เปอร์เซ็นต์เป็นสมาร์ทโฟน และ 10 เปอร์เซ็นต์เป็น AIoT
ในส่วนภาพรวมของตลาดโลก จากการรายงานของ Canalys ระบุว่า การส่งมอบสมาร์ทโฟนทั่วโลกของเสียวหมี่ได้ขยับขึ้นไปอยู่อันดับที่ 2 โดยมีส่วนแบ่งตลาดที่ 16.7 เปอร์เซ็นต์ เป็นรองแค่ซัมซุง แต่ถ้าเฉพาะในประเทศไทย เวลานี้เสียวหมี่ อยู่ในอันดับหนึ่งของไทย
ทางด้านการวางจำหน่ายสมาร์ทโฟนในไทยช่วงปี 2021 เสียวหมี่ จับกลุ่มทุกตลาดไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนระดับผู้เริ่มต้น, ระดับกลาง และระดับสูง โดยมีเซกเมนต์อยู่ที่สมาร์ทโฟนสำหรับผู้เริ่มต้นที่ 65 เปอร์เซ็นต์ ระดับกลาง 25 เปอร์เซ็นต์ และระดับไฮเอนด์ จำนวน 10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตัวเลขนี้สอดคล้องกับตลาดในประเทศไทย
...
ขณะที่ธุรกิจ AIoT เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ผลิตภัณฑ์ของเสียวหมี่ ประสบความสำเร็จ นำโดย เครื่องกรองอากาศ Mi Air Purifier ตามด้วยอุปกรณ์สวมใส่ (Wearable Device) ซึ่งเสียวหมี่ ทำตลาดภายใต้แบรนด์ Mi Band และสุดท้ายเป็นสมาร์ท ทีวี ที่เสียวหมี่ ใช้จุดขายเรื่องของการอัดสเปกให้แรง แต่ตั้งราคาไม่สูงนัก เพื่อจูงใจลูกค้า
โจนาธาน คัง เชื่อว่าการเติบโตของอุปกรณ์ในกลุ่ม AIoT ยังมีแนวโน้มเติบโตได้อีก เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในตัวเอง มีความเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันของมนุษย์ และเสียวหมี่ ตั้งเป้าจะนำเข้าสินค้า AIoT มาวางจำหน่ายในไทยให้มากขึ้น
ปัจจุบัน มีอุปกรณ์ IoT ของเสียวหมี่ เชื่อมต่อผ่าน Mi Smart Home App ราว 374.5 ล้านเครื่อง