Zoom แพลตฟอร์มวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เป็นหนึ่งในผู้ได้รับประโยชน์จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้การประชุมออนไลน์แพร่หลาย ช่วยดันยอดรายได้ไตรมาสสองของ Zoom สูงถึง 355 เปอร์เซ็นต์

Zoom ผู้พัฒนาแอปพลิเคชันวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ชื่อดัง ประกาศผลประกอบการในไตรมาสที่สองของบริษัท สิ้นสุดวันที่ 31 กรกฎาคม โดยมีรายได้เพิ่มถึง 355 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็น 663.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินถึง 163.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ เมื่อหักค่าดำเนินการทุกอย่างแล้ว พบว่า Zoom มีผลกำไรที่ 186 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ยอดผู้ใช้งานก็เติบโตไม่แพ้กัน โดยเติบโตที่ 458 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

นอกเหนือจากนี้ หุ้นของ Zoom ได้ทำสถิติใหม่ ขึ้นสู่จุดสูงสุดปิดที่ 325.10 ดอลลาร์ต่อหุ้น เนื่องจากบริษัทมีการปรับการคาดการณ์รายได้เพิ่มขึ้น 30 เปอร์เซ็นต์ หรือราว 2.37-2.39 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่อยู่ระหว่าง 1.78-1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนมูลค่าตามราคาตลาด (Market Capitalization) ของ Zoom อยู่ที่ 9.17 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

การเติบโตของ Zoom ไม่ได้อยู่เหนือการคาดเดา เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้การทำงานต้องเปลี่ยนรูปแบบเป็นการทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) ซึ่งทำให้เครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการทำงานจากที่บ้านได้รับอานิสงส์นี้ไปด้วย

ในส่วนของ Zoom มีปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จ คือ การใช้งานที่ง่าย และมีลูกค้าองค์กรอุดหนุนเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ Zoom ได้รับความนิยมอย่างสูง ก็ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่า ไม่มีการเข้ารหัสที่ดีพอ จึงทำให้ Zoom ต้องยุติการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ แล้วหันไปเร่งพัฒนาระบบการเข้ารหัสเป็นการด่วน

...

เท่านั้นยังไม่พอ Zoom ยังถูกโยงเข้ากับเวทีการเมืองอีกด้วย จากการที่ Zoom สั่งปิดบัญชีผู้ใช้แบบเสียเงินในสหรัฐอเมริกาเป็นการชั่วคราว ตามคำสั่งของรัฐบาลจีน เนื่องจากผู้ใช้งานในสหรัฐอเมริกาได้จัดประชุมเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์จัตุรัสเทียนอันเหมิน จนเกิดคำถามว่า รัฐบาลจีนมีอำนาจมากน้อยแค่ไหนในแอปพลิเคชัน Zoom