เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ปีแรกที่ กูเกิล จำเป็นต้องเสียเงินจำนวนมากเช่นนี้ให้กับบริษัทแอปเปิล เพื่อคงไว้ซึ่งบริการ search บน iPhone และ iPad

ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครสามารถบอกถึงจำนวนเงินที่แน่ชัด แต่นักวิเคราะห์จาก Bernstein มองว่าเป็นไปได้ที่กูเกิลจำเป็นต้องจ่ายเงินแก่แอปเปิลมูลค่ากว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี

มูลค่าที่กล่าวมานั้นคำนวณมาจาก 5% ของผลกำไรทั้งหมดของแอปเปิลจากการให้บริการต่างๆ อาทิ การขายแอปพลิเคชันบน App Store, iCloud และ Apple Music อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่าผลประกอบการจะสูงขึ้นอีก 25% ในปีนี้ 

นักวิเคราะห์ยังรายงานต่ออีกว่า เมื่อปี 2014 กูเกิลเคยจ่ายเงินแก่แอปเปิลมาแล้วเป็นจำนวน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับรายได้ของแอปเปิลในปีนี้ จึงเป็นไปได้ที่กูเกิลต้องจ่ายเพิ่มขึ้นอีก 30% นั่นเอง 

แล้วกูเกิลจะได้อะไรจากการจ่ายเงินก้อนนี้?

เพราะอย่างที่รู้กันดีว่าจำนวนผู้ใช้อุปกรณ์ระบบปฏิบัติการ iOS มีอยู่ทั่วโลก ดังนั้นเป็นไปได้ที่รายได้เกือบ 50% ของการค้นหาข้อมูลผ่านมือถือ-แท็บเล็ต มาจากอุปกรณ์ iOS บนซาฟารี (ปัจจุบัน หากผู้ใช้ต้องการค้นหาอะไรจากเบราว์เซอร์ผ่าน Safari ระบบจะเชื่อมต่อไปที่ Google Search โดยอัตโนมัติ)

...

หากกูเกิลไม่ยอมคงระบบค้นหานี้เอาไว้ ก็เป็นไปได้ว่าจะเสียรายได้ และเปิดโอกาสให้คู่แข่งระบบค้นหาอื่นๆ เข้ามาแทนที่ด้วย

แอปเปิลจะกลายเป็นเสือที่นอนนับเงิน

ยังมีการคาดเดาต่ออีกว่า เป็นไปได้ที่ในอนาคต แอปเปิลจะเก็บค่าลิขสิทธิ์จากผู้ให้บริการแอปพลิเคชันต่างๆ ที่ต้องการนำเอาแอปฯ ของตนมาอยู่เป็นแอปฯ พื้นฐานพร้อมกับระบบ iOS โดยเฉพาะแอปฯ ยอดฮิตต่างๆ ที่กำลังมีคู่แข่ง อาทิ Uber vs Lyft, Amazon vs Jet.com, Facebook vs Twitter หรือ Snapchat ฯลฯ

ที่มา: