การหวนกลับมาของ “Nokia” แบรนด์โทรศัพท์มือถือระดับตำนาน ท่ามกลางกระแสการต่อสู้อันดุเดือดของตลาดสมาร์ทโฟนอาจไม่ง่าย เพราะอย่างที่รู้กันดีว่าปัจจุบันมี 2 แบรนด์ใหญ่อย่าง Apple และ Samsung กำลังห้ำหั่นกันเพื่อชิงอันดับ 1 นี่ยังไม่รวมแบรนด์สัญชาติจีนอื่นๆ ที่กำลังมาแรงขึ้นเรื่อยๆ
แต่ถ้าไม่แน่จริงก็คงไม่กลับมา เพราะตอนนี้ภาพลักษ์ใหม่ของโนเกียกลายเป็นที่พูดถึงกันทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นแวดวงไอที กลุ่มแฟนโนเกีย รวมถึงผู้บริโภคทั่วไป เกี่ยวกับการเปิดตัว “โนเกียตระกูลแอนดรอยด์” ภายใต้การบริหารของบริษัท เอชเอ็มดี โกลบอล (HMD Global) บริษัทที่ได้รับลิขสิทธิ์การออกแบบ และจัดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ และแท็บเล็ตของโนเกีย (Nokia) ทั่วโลกแต่เพียงผู้เดียว
ไทยรัฐออนไลน์ มีโอกาสได้พูดคุยกับ มร.เป็กกา รันทาลา ประธานเจ้าหน้าที่สูงสุดฝ่ายการตลาด HMD Global เกี่ยวกับทิศทางการตลาด และกลยุทธ์ทางธุรกิจที่จะนำมาเอาชนะใจผู้บริโภคชาวไทย

...
มร.เป็กกา มีความรู้กว้างขวางในแวดวงโทรศัพท์มือถือ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด การขาย และการปฏิบัติการของโนเกียมาตั้งแต่ปี 1990 โดยเริ่มตั้งแต่การเป็นผู้จัดการฝ่ายส่งออกของโนเกียในประเทศแอฟริกา จากนั้นก็ทำงานให้กับบริษัทโนเกียในตำแหน่งต่างๆ มาเป็นระยะเวลา 17 ปี จนมาถึงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการตลาดระดับโลก Senior Vice President for Global Marketing และลาออกไปเพื่อรับตำแหน่งประธานบริหารบริษัท Rovio EntertInment (ผู้ผลิต Angry Birds) และการกลับมาทำงานร่วมกับโนเกียทำให้เขามีความมุ่งมั่นมากกว่าเดิมที่จะสร้างแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จอีกครั้ง
การกลับมาครั้งนี้มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง?
HMD Global เพิ่งเริ่มดำเนินธุรกิจในเดือนธันวาคม 2016 การกลับมาครั้งนี้จึงเริ่มต้นด้วยการสร้างพันธมิตรกับผู้ผลิตที่ดีที่สุด อาทิ ระบบปฏิบัติการเพียวแอนดรอยด์จากกูเกิล, กล้องจากผู้ผลิตคู่บุญเดิมอย่าง Zeiss, และชิ้นส่วนตัวเครื่องจากฟ็อกซ์คอนน์ ผู้ผลิตเดียวกับตัวเครื่องไอโฟนของแอปเปิล
“ถึงแม้ว่าบริษัทจะเป็นพาร์ทเนอร์กับผู้ผลิตมากมาย แต่ในแง่มุมของ
แบรนด์ โปรดักส์ดีไซน์ และเทคโนโลยี เราจะเป็นผู้คอนโทรลทั้งหมด”
ทำไมไทยถึงเป็นหนึ่งในตลาดหลักของโนเกีย?
ประเทศไทยมีความสำคัญสำหรับแบรนด์โนเกียมาตั้งแต่ยุคฟีเจอร์โฟน จนถึงวันนี้ก็ยังเป็นตลาดที่สำคัญอยู่ เห็นได้จากการเปิดตัวโนเกีย 3, 5, 6 ในประเทศไทยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชีย เพราะเราเชื่อมั่นว่าโนเกียเป็นแบรนด์ที่คนไทยทุกคนรู้จัก หรือไม่ก็ต้องเคยใช้งานมาบ้าง เราเชื่อมั่นในความผูกพันที่มีมาแต่เดิม

แค่ความผูกพันอย่างเดียวคงไม่พอ?
แน่นอน! เพราะเราต้องการให้ลูกค้าจ่ายเงินแล้วได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพคุ้มค่ากลับไป ดังนั้นเราจึงพัฒนาคุณสมบัติเด่น ได้แก่
1. ระบบปฏิบัติการเพียวแอนดรอยด์ ทำให้การใช้งานมีความเสถียร มาพร้อมกับซีเคียวริตี้ที่อัพเดตตัวเองให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดอยู่ตลอด
2. แบรนด์มีจุดขายในด้าน อึด ถึก ทน ใช้งานง่ายไม่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมมาก ทำให้เหมาะกับผู้บริโภคทุกกลุ่ม
3. ดีไซน์ตัวเครื่องระดับพรีเมียม ประกอบด้วยอะลูมิเนียมชิ้นเดียวกัน ส่งผลให้ยึดโทรศัพท์ได้แน่นกว่า และทนกว่าโทรศัพท์ที่ทำมาจากพลาสติก หรือโทรศัพท์รุ่นที่เปิดฝาหลังได้แน่นอน
3 รุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปเหมาะกับใครบ้าง?
เราเน้นลูกค้ากลุ่มมิลเลนเนียน อายุ 19-35 ปี เพราะเห็นได้ชัดว่าปัจจุบันคนกลุ่มนี้ใช้งานโซเชียลมีเดียเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก ยูทูบ และไลน์ ดังนั้นเราจึงเลือกนำแอนดรอยด์มาตอบสนองพวกเข้าในราคาที่เข้าถึงได้ ตั้งแต่ 4,000 - 6,000 บาท และจะมีรุ่นอื่นเปิดตัวตามมาเร็วๆ นี้
รุ่นไหน กระซิบบอกได้ไหม?
เป็นความลับ เร็วๆ นี้เดี๋ยวก็รู้

...
คิดจะเข้าหากลุ่มลูกค้าด้วยวิธีใด?
เราใช้ธีม Connecting People มานาน แต่เห็นได้ว่าปัจจุบันคนไม่เชื่อมต่อในโลกแห่งความจริง และไปเชื่อมต่อกันในโลกออนไลน์มากขึ้น ดังนั้นเราจึงวางแผนทำการตลาดแบบใหม่ในธีม Unite For... หรือการเข้าคนในแต่ละกลุ่ม เอาเทคโนโลยีที่มีไปตอบโจทย์คนที่ต้องการจริงๆ อาทิ กลุ่มที่ชอบหน้าจอใหญ่ หรือกลุ่มที่ชอบถ่ายภาพ
“แบรนด์เราเป็นที่รักของทุกประเทศ และประเทศไทยเป็นหนึ่งในนั้น เราจึงตั้งใจจะนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มีคุณภาพ มีความเสถียร ใช้งานง่าย มาดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ รวมถึงผู้ที่เคยใช้โนเกียมาแล้ว และเรามั่นใจว่าจะกลับมาครองใจผู้บริโภคอีกครั้ง” มร.เป็กกา กล่าวทิ้งท้าย
หรือนี่จะเป็นการเปิดประวัติศาสต์หน้าใหม่ของแบรนด์มือถือยักษ์ใหญ่ในตำนานก็เป็นได้ ต้องติดตามกันต่อไป...