"รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์" ผู้เชี่ยวชาญมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ วิเคราะห์สถานการณ์ "น้ำท่วมหาดใหญ่" คาดพื้นที่เศรษฐกิจยังต้องจมน้ำไปจนถึงกลางเดือนธันวาคมเป็นอย่างต่ำ ชี้ปัญหาสำคัญจากการขาดการบังคับบัญชาการตอบสนองเหตุการณ์

วันที่ 25 พ.ย. 68 รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต และรองประธานมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ส่วนตัวระบุว่า แม้ว่าระดับน้ำตอนบนจาก อ.สะเดา จะเริ่มลดลงเมื่อเช้านี้ แต่จะไหลไปเพิ่มตอนล่างคือก่อนเข้าเมือง และพื้นที่ในเมืองโดยเมื่อเวลา 07.00 วันนี้ระดับน้ำท่วมเพิ่มขึ้นมาเกือบ 2 เมตรจากระดับเมื่อวาน (ดูรูปประกอบ) จากบ้านจมน้ำ 1 เมตร เป็นน้ำมิดบ้าน จากบ้านในที่ลุ่มต่ำค่อนบ้าน (บริเวณเทศบาลควนลัง ม.หาดใหญ่) เป็นมิดหลังคาบ้าน แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร ? เราจะอยู่กันอย่างนี้อีกนานไหม ?

ผมเพียงประเมินจากผู้ที่เคยออกแบบคลอง ร.1 และมีพรรคพวกเพื่อนฝูงทำธุรกิจอยู่ในหาดใหญ่ รวมทั้งเคยร่วมสู้ และฝึกซ้อมแผนกับเทศบาลหาดใหญ่เมื่อน้ำท่วมปีที่ผ่านมา ปีนี้ภารกิจผมตั้งแต่น้ำท่วมภาคเหนือ ภาคกลาง กำลังวางแผนไปภาคใต้ จากระดับ และปริมาณน้ำที่ผมกล่าว ทำให้พื้นที่เศรษฐกิจยังต้องจมน้ำไปจนถึงกลางเดือนธันวาคมเป็นอย่างต่ำ 

ปริมาณน้ำฝน ระดับน้ำ และน้ำหลากมากกว่าปี 2553 ปริมาณฝน 5 วันเฉลี่ยสะสม (21-25 พฤศจิกายน) ประมาณ 850 mm คิดเป็นปริมาณน้ำท่าประมาณ 1,200-1,500 mcm ถ้าการระบายน้ำโดยธรรมชาติจากคลอง ร.1 และคลองอู่ตะเภาทำได้เต็มที่ประมาณวันละ 155 mcm จึงต้องใช้เวลาประมาณ 10 วัน แต่เรามีเครื่องสูบน้ำปลายคลอง ร.1 (ประมาณวันละ 2-3 mcm) และจำเป็นที่ต้องใช้สูบในที่ลุ่มต่ำ หลังจากน้ำลดระดับลงต่ำกว่าคันกั้นน้ำ รวมทั้งเครื่องผลักดันน้ำปลายคลอง ประกอบกับอุปสรรคที่สำคัญ ระดับน้ำทะเลหนุนสูงช่วงนี้จนถึงปลายเดือนนี้ และจะระบายน้ำได้ดีก่อนวันที่ 3 ธันวาคม และช่วง 12-16 ธันวาคม จึงทำให้ไม่สามารถระบายน้ำได้เต็มศักยภาพ น้ำจึงอาจจะอยู่กับพี่น้องจนถึงกลางเดือนธันวาคมน่ะครับ

...

ผมได้แนบโครงสร้างการจัดการภัยพิบัติในภาวะวิกฤต ตาม พ.ร.บ. ป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ 2550 มาประกอบ จะเห็นว่าเรามีคณะกรรมการฯ ระดับชาติ และระดับท้องถิ่นดูแลอยู่ ซึ่งขณะนี้มีการยกระดับเป็นภัยระดับ 3 มี มท.1 เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ ตั้งแต่ระดับท้องถิ่น จนถึงระดับชาติต้องทำแผนป้องกันตนเองตามองค์ประกอบแผน 4 ด้าน (2P2R) กล่าวคือ P1 การเตรียมการป้องกัน และลดผลกระทบ P2 การเตรียมความพร้อมรับภัย R1 การจัดการในภาวะฉุกเฉิน และ R2 การจัดการหลังการเกิดภัย

แต่รัฐบาลกลับไม่ใช้กลไกตาม พ.ร.บ. นี้ มีการตั้งคณะกรรมการฯ โดยใช้ระเบียบสำนักนายกฯ ดังที่ทราบกัน ประกอบกับภารกิจท้องถิ่น P2 และ R1 มีปัญหาในการจัดการ แม้ว่าได้มีการเตือนภัย ก่อนล่วงหน้า 2-5 วัน แต่มันเกิดอะไรขึ้น เราไม่มีการประเมินความรุนแรงสถานการณ์เลยหรือ ? เราจึงเห็นพี่น้องติดอยู่บนหลังคา รถยนต์น้ำท่วม นักท่องเที่ยวติดค้างไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่มีข้อมูล ผู้ป่วยติดเตียง เด็ก และผู้ชรา ผู้เปราะบางร้องขอความช่วยเหลือเต็มไปหมด ยานพาหนะต่างๆ ไม่เพียงพอ ไม่มีศูนย์การจัดการความช่วยเหลือ มีเพียงอาสาสมัครที่เสียสละรวมพลเข้ามา และที่สำคัญขาดการบังคับบัญชาการตอบสนองเหตุการณ์ เมื่อรู้ว่าน้ำจะยกตัวสูงขึ้นเกือบ 2 เมตร ในเขตพื้นที่เศรษฐกิจ ทำไมไม่ทำอะไรเลย ปล่อยประชาชนเผชิญชะตากรรม ผมได้แนะนำไปว่าต้องตีคันถนน เพื่อระบายน้ำออกก่อนเข้าพื้นที่เศรษฐกิจ ลดภาระ ลดความสูญเสีย ?

เป็นเหตุการณ์ครั้งแรกที่มูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติต้องปรับตัวมาเป็นศูนย์ประสานความช่วยเหลือ ทุกสายมุ่งเข้ามา ประสานไปหาหลายหน่วยงาน แต่เกินกำลังความสามารถของเขา กำลังสนับสนุนก็ไม่เพียงพอ จึงบางครั้งน้องๆ ท้อ ร้องไห้ เพราะไม่สามารถช่วยพ่อแม่พี่น้องประชาชนได้ในยามวิกฤต เราก็ต้องให้กำลังใจน้องๆ พนักงาน และไม่อยากเห็นสภาพที่เป็นอยู่อีก ท้ายที่สุดผมขอเป็นกำลังใจพ่อแม่พี่น้องทุกท่าน อย่าหยุด อย่าท้อถอย ทีมงานผมจะลงไปช่วยท่านเร็วๆ นี้ครับ





ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์