หลังจากได้ยิน ดร.เอกนิติ นิติทัณฑประภาศ รองนายกฯ และ รมว.คลัง ออกมาประกาศแนวคิดเรื่องการ “สร้างเขื่อน” เพื่อป้องกันน้ำท่วมอย่างยั่งยืน แทนที่จะสิ้นเปลืองงบประมาณปีละหลายหมื่นล้านบาทไปกับแนวป้องกันเดิมๆ ที่ไม่ได้ผล นับเป็นสัญญาณที่ดีต่อประเทศและคนไทย ที่จะได้มีโครงสร้างสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ไว้รับมือกับภัยธรรมชาติที่มีความถี่และความรุนแรงเพิ่มขึ้นจากภาวะโลกร้อน

เขื่อนเล็กอาจเป็นทางออก

แน่นอนว่าเมื่อเอ่ยถึง "เขื่อน" ย่อมเกิดข้อถกเถียงตามมา ทั้งผลกระทบต่อประชาชนนับล้านคน การเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ ความหลากหลายทางชีวภาพ และปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน หากบริหารจัดการไม่ดี หรือขาดเทคโนโลยีที่ทันสมัย เขื่อนก็อาจไม่ใช่คำตอบ

มักมีคำกล่าวว่า "ให้ลืมเรื่องสร้างเขื่อนในไทยไปได้เลย" แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า แล้วจะช่วยชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วมซ้ำซากปีละ 6 เดือนได้อย่างไร?

ความจริงคือ การสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ อาจทำไม่ได้แล้วในบริบทปัจจุบัน เพราะไทยไม่มีพื้นที่ป่าขนาดใหญ่รองรับน้ำปริมาณมหาศาลได้อีก แต่สิ่งที่ทำได้คือ เขื่อนขนาดเล็ก แก้มลิง และระบบชะลอน้ำ ตามแนวพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่ทรงศึกษาและวางแนวทางไว้อย่างครบถ้วน

...

ศาสตร์พระราชา เน้นป้องกันมากกว่าเยียวยา

แนวทางของในหลวง ร.9 ไม่ได้ฝากความหวังไว้กับโครงสร้างใดโครงสร้างหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่ทรงเน้นการผสมผสานมาตรการหลายด้าน ทั้งเขื่อน ฝายเล็ก แก้มลิง การปรับพื้นที่รับน้ำตามธรรมชาติ รวมถึงการจัดการที่ดิน การเตือนภัย และการสร้างชุมชนที่เข้มแข็ง

นี่คือโมเดลการบริหารจัดการน้ำแบบเบ็ดเสร็จ "ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ" ที่ทำได้จริงและสอดคล้องกับภูมิสังคมไทย ดังนี้

1. ต้นน้ำ - ลดความเชี่ยวกรากของสายน้ำ

สร้างอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง แทนที่จะสร้างเขื่อนยักษ์ ให้กระจายสร้างอ่างขนาดกลางราว 20-30 แห่ง ความจุ 10-40 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งเมื่อรวมกันจะได้ปริมาณความจุเท่าเขื่อนใหญ่ แต่ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมต่ำกว่ามาก

ฝายชะลอน้ำ สร้างฝาย 5,000 - 20,000 จุด เพื่อช่วยลดตะกอน เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผืนป่า และลดความรุนแรงของน้ำหลาก ซึ่งเป็นวิธีที่ต้นทุนต่ำที่สุด

2. กลางน้ำ - พื้นที่รับน้ำและทางด่วนน้ำ

แก้มลิงกลางทุ่ง สร้างพื้นที่รับน้ำในทุ่งนาหรือทุ่งหญ้าขนาด 10,000 - 200,000 ไร่ เพื่อพักน้ำก่อนเข้าสู่ตัวเมืองหรือเขตเศรษฐกิจ คล้ายกับโมเดล Retarding Basin ของญี่ปุ่น

ฟื้นฟูคลองโบราณ ในจังหวัดประวัติศาสตร์อย่าง อยุธยา สุโขทัย ลพบุรี เคยมีคลองและหนองน้ำจำนวนมาก หากขุดลอกและฟื้นฟูเส้นทางน้ำเดิมได้สัก 10-20 เส้นทาง จะเพิ่มศักยภาพการระบายน้ำได้อย่างมหาศาลด้วยต้นทุนที่คุ้มค่า

กำหนดพื้นที่น้ำล้น กำหนดโซน "พื้นที่ยอมให้ท่วมได้" เพื่อเบี่ยงน้ำออกจากโบราณสถานและย่านที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นวิธีที่จีน และญี่ปุ่นนิยมใช้

3. ปลายน้ำ - ป้องกันเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจ

คลองผันน้ำรอบเมือง สร้างทางเลี่ยงน้ำไม่ให้ไหลผ่ากลางเมืองเก่า เพื่อลดแรงดันน้ำที่จะปะทะกับกำแพงเมือง วัด และโบราณสถาน

นวัตกรรมกำแพงน้ำ ติดตั้งระบบป้องกันน้ำแบบพับเก็บได้ เหมือน Mobile Flood Barriers ใช้เฉพาะฤดูน้ำหลากเพื่อไม่ให้บดบังทัศนียภาพ คล้ายโมเดลเมืองเวนิส อิตาลี

พื้นที่รับน้ำในเมือง ออกแบบสวนสาธารณะให้ทำหน้าที่เป็นแก้มลิงรองรับน้ำฝนในพื้นที่ลุ่มต่ำ หรือแอ่งกระทะ

แนวทางพระราชดำรินี้ ทรงวางแผนไว้อย่างละเอียดรอบคอบ ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรนำไปปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม เลิกแก้ปัญหาในแบบเฉพาะหน้า รอฟ้าฝน หรือทำแบบขอไปทีได้แล้ว