รพ.ปลายพระยา มอบหมายให้นิติกรรวบรวมหลักฐานเตรียมแจ้งความเอาผิด กระบะจอดขวางรถฉุกเฉิน ทำผู้ป่วยวิกฤตเสียชีวิต ขณะที่ลูกสาวผู้ตาย เล่านาทีคุกเข่าขอร้องคนขับกระบะเลื่อนรถ เชื่อไม่มีรถจอดขวางพ่ออาจจะยังรอดชีวิต


วันที่ 19 ตุลาคม 2568 จากกรณีแฟนเพจ โรงพยาบาลปลายพระยา จังหวัดกระบี่ โพสต์เรื่องราวของผู้ป่วยรายหนึ่งที่เสียชีวิตลง เนื่องจากไม่สามารถเคลื่อนย้ายขึ้นรถฉุกเฉินของโรงพยาบาลเพื่อส่งต่อไปรักษาได้ เพราะมีรถกระบะจอดปิดทางเคลื่อนย้ายผู้ป่วย กลายเป็นกระแสดราม่าที่สังคมให้ความสนใจ ตามที่ได้รายงานไปแล้วนั้น (อ่านข่าว : รพ.ปลายพระยา แจงปมกระบะจอดกีดขวางรถพยาบาล จนไม่สามารถนำผู้ป่วยวิกฤตขึ้นรถได้)

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้ภาพจากกล้องวงจรปิดนาทีที่ลูกสาวผู้ป่วยที่เสียชีวิต พาพ่อออกจากบ้านไปส่ง รพ.ปลายพระยา และต่อมาเป็นกล้องของ รพ.ปลายพระยา เป็นช่วงที่ เจ้าหน้าที่พยาบาลกำลังเตรียมอุปกรณ์ขึ้นรถฉุกเฉิน เพื่อจะเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ระหว่างนั้นรถกระบะยี่ห้อโตโยต้า สี่ประตู สีน้ำตาล ทะเบียนฉะเชิงเทรา ขับเข้ามาจอดปิดท้ายรถฉุกเฉิน โดยมีชายและหญิง 2 คน ลงมาจากรถ ก่อนจะเอารถเข็นมาเข็นพาแม่ของฝ่ายรถกระบะ เข้าไปห้องฉุกเฉิน ซึ่งตอนนั้นพยาบาลพยายามบอกให้ชายคนดังกล่าวไปเลื่อนรถให้ เพราะมีผู้ป่วยหนักใส่เครื่องช่วยหายใจต้องรีเฟอร์ด่วน แต่ชายคนดังกล่าวกลับเถียงและโวยวายใส่ เจ้าหน้าที่ให้มาช่วยดูแม่ของเค้า แทนที่จะรีบไปช่วยเลื่อนรถให้รถฉุกเฉิน จนทำให้การส่งต่อผู้ป่วยเป็นไปอย่างล่าช้า ไม่สามารถยื้อชีวิตผู้ป่วยไว้ได้

ต่อมาผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านหลังหนึ่งในพื้นที่ หมู่ 8 ตำบลคีรีวง อำเภอปลายพระยา ซึ่งเป็นบ้านของ นายสมควร อายุ 69 ปี ผู้เสียชีวิต ซึ่งญาติๆ นำศพมาตั้งบำเพ็ญกุศลที่บ้าน ท่ามกลางบรรยากาศโศกเศร้า และมีการพูดถึงเรื่องดังกล่าวกัน

...

น.ส.ภัทราพร พานิชย์ อายุ 29 ปี ลูกสาวผู้ตาย ทำงานเป็นพนักงานจ้าง ของ รพ.สต.บ้านโคกแซะ เล่าว่า คืนเกิดเหตุพ่อมีอาการหายใจไม่ออก และเจ็บแน่นหน้าอก ตนจึงรีบพาพ่อส่งโรงพยาบาลปลายพระยา เมื่อไปถึงอาการพ่อก็ไม่ดีขึ้น ทางโรงพยาบาลจึงเตรียมส่งตัวต่อมารักษาที่โรงพยาบาลกระบี่ ระหว่างเคลื่อนย้ายพ่อเตรียมจะขึ้นรถฉุกเฉินของโรงพยาบาล รถกระบะคันดังกล่าวก็ขับมาจอดปิดท้ายรถพยาบาล ทำให้ไม่สามารถเข็นพ่อขึ้นรถพยาบาลได้ เพราะคนขับรถกระบะพาแม่ของเขาเข้าไปในห้องฉุกเฉิน และไปมีปากเสียงกับเจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉิน ตอนนั้นตนร้อนใจมาก เพราะอาการพ่อยิ่งทรุดลงต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ จึงไปบอกเจ้าของรถให้ช่วยเลื่อนรถกระบะให้ แต่ทางเจ้าของรถกระบะก็เอะอะโวยวายใส่เจ้าหน้าที่ และมีปากเสียงกับญาติๆ ของตน

ตนพยายามอ้อนวอนคนขับรถกระบะ และทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้น เพื่อกราบอ้อนวอนขอให้เค้าเลื่อนรถให้ แต่ก็ยังไม่ได้ผล สุดท้ายทางเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลต้องบอกคนขับกระบะ ว่าหากไม่ยอมเลื่อนรถก็จะเรียกตำรวจมา คนขับกระบะจึงยอมไปเลื่อนรถ ซึ่งช่วงเวลาเกิดเหตุตนจำไม่ได้ว่านานกี่นาที แต่สำหรับตนถือว่านานมาก เพราะผู้ป่วยโรคหัวใจเวลาเพียงแค่ 1 นาทีก็มีความสำคัญ จึงอยากฝากเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ เพราะเวลาเพียงเสี้ยววินาทีอาจจะช่วยชีวิตของผู้ป่วยฉุกเฉินได้ หากวันนั้นไม่มีรถกระบะจอดขวาง ตนเองก็ยังเชื่อว่าพ่ออาจจะยังรอดชีวิตได้

ในส่วนของการดำเนินคดี ตอนนี้ตนยังไม่คิดอะไรเพราะตั้งใจจะจัดงานศพให้พ่อเสร็จก่อน ส่วนที่ทางโรงพยาบาลจะดำเนินคดีก็ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของโรงพยาบาล ส่วนตนหลังจากนี้ก็จะหารือกับญาติอีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

ด้าน นพ.ณัฐพงษ์ ดูงาม ผอ.รพ.ปลายพระยา ให้ข้อมูลผ่านทางโทรศัพท์ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นบทเรียนสำคัญให้เห็นถึงการทำงานในการช่วยชีวิตผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจ เวลาเพียงนาทีเดียวก็สำคัญมาก จึงไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกไม่ว่าที่ไหน ในส่วนของ รพ.ตอนนี้มอบหมายให้นิติกรของ รพ.รวบรวมหลักฐานทุกอย่าง เพื่อเตรียมเข้าแจ้งความเอาผิดกับรถกระบะคันดังกล่าว

ส่วนจะดำเนินคดีข้อหาอะไรได้บ้าง ต้องรอทางนิติกรสรุปอีกครั้ง แต่เบื้องต้นเป็นการขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย หากทางญาติของผู้เสียชีวิต ประสงค์จะร่วมเป็นโจทก์ก็สามารถร่วมได้ โดยจะให้ นิติกรเข้าแจ้งความที่ สภ.ปลายพระยา วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคมนี้.