"น้องข้าวต้ม" เริ่มมีแรงพยุงตัวลุกยืนบ่อยขึ้น ขาหน้าเริ่มคลายตัว ลงน้ำหนักเท้าเพื่อก้าวเดินได้มากขึ้น ทีมสัตวแพทย์-พี่เลี้ยง ยังคงเฝ้าระวังอาการใกล้ชิด


วันที่ 30 ก.ย. 68 มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 29 ก.ย. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่จากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พร้อมด้วยทีมสัตวแพทย์จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ยังคงเฝ้าดูแลอาการของ "ข้าวต้ม" ลูกช้างป่าพลัดหลงเพศเมียอย่างต่อเนื่อง หลังเข้ารับการรักษา ณ ศูนย์พัฒนาการจัดการสัตว์ป่าบึงฉวาก โดยพบสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้นแต่ยังคงต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด

น.สพ.ญ.ณฐนน ปานเพ็ชร หัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงฉวาก และศูนย์พัฒนาการจัดการสัตว์ป่าบึงฉวาก และ น.สพ.นภัส เสวกวรรณ นายสัตวแพทย์ประจำกลุ่มงานจัดการสุขภาพสัตว์ป่า ได้รายงานการดูแลอาการของช้างป่า โดยระบุว่าอาการล่าสุดของลูกช้าง "ข้าวต้ม" มีรายละเอียดดังนี้

ด้านภาวะโภชนาการ: ลูกช้างสามารถกินนมและน้ำได้ตามปกติ แต่พบว่าอุจจาระยังมีลักษณะเหลวสีเขียวขี้ม้าอ่อน ซึ่งทีมสัตวแพทย์ได้เก็บตัวอย่างส่งตรวจวิเคราะห์เพิ่มเติมที่คณะสัตวแพทยศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์

ด้านอาการบาดเจ็บ: พบว่าบริเวณสะดือมีหนองลดลง แต่ยังคงมีหนองที่บริเวณเล็บเท้า จึงต้องทำความสะอาดแผลอย่างต่อเนื่องทุกวัน

การเคลื่อนไหว: ลูกช้างเริ่มมีกำลังในการพยุงตัวเองเพื่อลุกยืนได้บ่อยครั้งขึ้น และจากการทำกายภาพบำบัดด้วยเครื่องอัลตราซาวด์ร่วมกับการยืดเหยียดข้อต่อ พบว่าขาหน้าเริ่มคลายตัวลงและมีการลงน้ำหนักเท้าเพื่อก้าวเดินได้มากขึ้น

การรักษาอื่นๆ: ทีมสัตวแพทย์ยังคงให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในกระแสเลือดซึ่งยังคงอยู่ในเกณฑ์ปกติ

...

แม้จะมีสัญญาณที่ดีขึ้น แต่ทีมสัตวแพทย์และเจ้าหน้าที่ยังคงต้องดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากลูกสัตว์ที่อ่อนแออาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย ทั้งนี้ สัตวแพทย์จากคณะสัตวแพทยศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จะเดินทางเข้าพื้นที่ในวันนี้ (30 ก.ย. 68) เพื่อตรวจอาการและวางแผนการกายภาพบำบัดเพิ่มเติมเพื่อเร่งการฟื้นตัวของ "ข้าวต้ม" ต่อไป.