หมอเตือนประเทศไทยเริ่มมีการระบาดของ "โรคไวรัสทางเดินหายใจ" พร้อมเปรียบเทียบอาการป่วย RSV กับ ไข้หวัดใหญ่
ภายหลังจาก นายแพทย์จุไร วงศ์สวัสดิ์ และนายแพทย์วีรวัฒน์ มโนสุทธิ โฆษกกรมควบคุมโรค ได้ร่วมกันแถลงข่าวในหัวข้อ "กันยาใส่ใจ ห่างไกลโรคและภัยสุขภาพ" โดยเปิดเผยสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) ประจำปี 2568 ว่าพบผู้ป่วยแล้วถึง 8,473 ราย และมีผู้เสียชีวิต 1 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กเล็กอายุ 0-4 ปี โดยมีอัตราป่วยสูงสุดเมื่อเทียบกับทุกช่วงอายุ ทั้งยังพบว่ามีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มขึ้นสูงกว่าปี 2567 นั้น
...
ทางด้าน พญ.สิริรักษ์ กาญจนธีระพงค์ กุมารแพทย์เฉพาะทางโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันวิทยา แผนกสุขภาพเด็ก โรงพยาบาลนวเวช เผยว่า ประเทศไทยได้เริ่มมีการระบาดของโรคไวรัสทางเดินหายใจ ตั้งแต่ช่วงกลางฤดูฝน แม้ไรโนไวรัสจะพบได้ตลอดทั้งปีอยู่แล้ว แต่สำหรับ RSV ในปีนี้พบว่าเริ่มระบาดตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน จะเห็นได้ว่ามีการระบาดช้าลงกว่าปีที่ผ่านๆ มาพอสมควร
RSV (Respiratory Syncytial Virus)
เป็นเชื้อไวรัสของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งจะซึมเข้าสู่ทางเดินหายใจได้โดยตรงและรวดเร็ว
ทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อบุทางเดินหายใจรุนแรงและทำให้เกิดโรคปอดบวม ปอดอักเสบ หลอดลมฝอยอักเสบได้ง่ายมาก ซึ่งติดต่อกันง่ายแบบ Droplet จากสารคัดหลั่ง น้ำมูก น้ำลาย ผ่านการไอ จาม และการสัมผัสกันโดยตรง พบการระบาดตามฤดูกาล ช่วงกลางฤดูฝนถึงต้นฤดูหนาว หรือช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง
อาการเริ่มแรกผู้ป่วย RSV เหมือนไข้หวัดทั่วไป คือ มีไข้ ไอ จาม น้ำมูกไหล และจะหายได้ ภายใน 5-7 วัน เด็กบางคนมีอาการไอแบบมีเสมหะร่วมด้วย ไอมากจนอาเจียน อาจมีหายใจเร็ว แรง หายใจลำบาก หรือหายใจแบบมีเสียงวี๊ด (wheezing) ได้ จะป่วยรุนแรงขนาดไหนขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานตามช่วงวัย
ในเด็กจึงเป็นได้ตั้งแต่ ไข้หวัดธรรมดา (Common cold) คออักเสบ (Pharyngitis) กล่องเสียงอักเสบ (Laryngitis) ไปจนถึงหลอดลมอักเสบ (Bronchitis) หลอดลมฝอยอักเสบ (Bronchiolitis) และปอดบวมปอดอักเสบ (Pneumonia) ในเด็กทารกอายุน้อยกว่า 2 ปี ผู้สูงอายุผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องจึงเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงเกิดอาการรุนแรงได้มากที่สุด
ในปัจจุบันการตรวจหาเชื้อ RSV โดยการป้ายสารคัดหลั่งน้ำมูกในจมูก (Nasal swab) ทำได้ง่าย สะดวก ราคาถูก สามารถตรวจคัดกรองเบื้องต้นเหมือนการตรวจโควิดได้ด้วยตนเอง
โรคไข้หวัดใหญ่
เกิดจากเชื้อไวรัส Influenza ในไทยพบได้ทุกฤดูกาล มักระบาดช่วงฤดูฝน พบได้ทุกช่วงอายุ เด็กมีโอกาสติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเด็กเล็ก
อาการทั่วไปของผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ คือ ไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล ซึ่งมักหายได้เองใน 4-7 วัน ในขณะที่ไข้หวัดใหญ่ จะมีอาการที่รุนแรงกว่า คือ มีไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัว ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก เยื่อบุตาแดง ซึ่งในกลุ่มเสี่ยงอาจมีการติดเชื้อลงปอดได้
วิธีการรักษา "RSV"
แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ การประคับประคองอาการทั่วไป เช่น ให้สารน้ำทางเส้นเลือดดำ ให้ออกซิเจน ช่วยดูดระบายเสมหะ และการรักษาแบบเฉพาะที่ เช่น
พ่นยาขยายหลอดลม พ่นน้ำเกลือเข้มข้นชนิดพิเศษ เพื่อลดภาวะหลอดเกร็ง หายใจมีเสียงวี๊ด ในปัจจุบันมีรายงานการใช้ยา Montelukast ในการลดความรุนแรงในช่วงแรกของการหายใจหอบเหนื่อย แบบมีเสียงวี๊ด และใช้ยาต่อเนื่อง เพื่อลดการกลับเป็นซ้ำ
แม้จะรักษาหายขาดแล้ว RSV ก็ยังมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีก โดยเด็กมักมีภาวะหลอดลมไวตามมา ทำให้หายใจเหนื่อยง่าย หลังการติดเชื้อทางเดินหายใจ รวมถึงมีรายงานเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหอบหืดได้สูงขึ้นทั้งในเด็กที่มีและไม่มีความเสี่ยงของโรคภูมิแพ้ในครอบครัว
วิธีการรักษา "ไข้หวัดใหญ่"
การรักษาไข้หวัดใหญ่ในเด็ก คือ การให้ยาต้านไวรัส Oseltamivir ได้ผลดี เมื่อให้ในช่วง 3 วันแรก หลังมีอาการ, การให้ยาปฏิชีวนะไม่มีผลฆ่าเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ และยาอื่นๆ เป็นยารักษาตามอาการ เช่น ยาลดน้ำมูก และยาละลายเสมหะ ยาลดไข้ โดยการรักษาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของกุมารแพทย์
วัคซีนป้องกันไม่ให้ติดเชื้อ
ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัส RSV แล้ว ซึ่งสามารถลดโอกาสการติดเชื้อและลดภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการติดเชื้อ ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง แนะนำให้ฉีดในคุณแม่ตั้งครรภ์ และผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หอบหืด ถุงลมโป่งพอง เบาหวาน ไต หัวใจ แต่ทั้งนี้ในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 ปี แนะนำให้ฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปต่อเชื้อ RSV เพื่อช่วยให้เด็กเล็กสามารถสร้างภูมิคุ้มกันระยะสั้นได้ทันที โดยปราศจากการติดเชื้อ จึงแนะนำให้เริ่มรับภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปต่อเชื้อ RSV ช่วงก่อนฤดูกาลระบาดของเชื้อ
ในส่วนการรับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือน โดยฉีดปีละ 1 ครั้ง วัคซีนจะมีประสิทธิภาพประมาณ 40-60% โดยคนที่มีโรคประจำตัวโดยเฉพาะโรคทางเดินหายใจ เช่น หอบหืด และเด็กเล็กอายุที่น้อยกว่า 2 ปี หากเป็นไข้หวัดใหญ่จะมีอาการรุนแรงได้ จึงควรได้รับวัคซีนทุกคน โดยในเด็กอายุน้อยกว่า 9 ปี กรณีเริ่มให้วัคซีนเป็นปีแรกจะฉีด 2 ครั้ง ครั้งละ 1 เข็มห่างกัน 1 เดือน
ทั้งนี้ เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ มีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ที่ระบาดเกือบทุกปี ดังนั้นจึงต้องฉีดทุกปี แนะนำให้ฉีดในช่วงก่อนที่มีการระบาดตั้งแต่เดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคมในทุกๆ ปี และสำหรับครอบครัวที่มีเด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน ซึ่งยังรับวัคซีนไม่ได้ ดังนั้นจึงแนะนำให้สมาชิกในครอบครัวที่อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันควรรับวัคซีนทุกคน.