คนละครึ่ง 2568 : อัปเดตความคืบหน้าล่าสุด ได้เมื่อไร ขณะที่ สช. ชงไอเดีย ฟิตเนสคนละครึ่ง หนุนคนออกกำลังกาย
ความคืบหน้า "คนละครึ่ง 2568" หลังจากที่ "รัฐบาลอนุทิน" มีแนวคิดคืนชีพโครงการคนละครึ่ง กลับมาใช้อีกครั้ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะเร่งด่วน เบื้องต้นงบประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท
อัปเดต "คนละครึ่ง" รอบใหม่ ได้เมื่อไร
สำหรับโครงการ "คนละครึ่ง" รอบใหม่ หรือ คนละครึ่ง 2568 คาดการณ์ว่าเริ่มใช้ได้เร็วสุด เดือนตุลาคม 2568 นี้ โดยนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ความเร็วในการแถลงนโยบายจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการนี้ด้วย หากรัฐบาลแถลงนโยบายแล้วสามารถเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ได้ภายในปีงบประมาณ 2568 ซึ่งจะจบ 30 กันยายนนี้ หากหลังจากนั้นจะต้องไปใช้งบประมาณปี 2569
ขณะที่ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้ตอบคำถามไว้ว่า "โครงการคนละครึ่งจะได้ใช้เร็วสุดเมื่อไรนั้น คิดว่าไม่เกิน 2 สัปดาห์ หลังจากมีคณะรัฐมนตรี (ครม.) เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ ระยะเวลาจะตามที่ปลัดกระทรวงการคลังได้พูดไว้"
เงื่อนไขใหม่ "คนละครึ่ง 2568" คนเสียภาษีได้สิทธิ 60:40
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เผยว่า โครงการคนละครึ่งรอบใหม่จะให้สิทธิประชาชนคนไทยทุกคนในอัตรา 50:50 แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในระบบภาษี หรือยื่นแบบแสดงรายการภาษีจะได้รับการสนับสนุนในอัตราที่สูงกว่า อาจอยู่ที่ 60:40
ทั้งนี้ ผู้ที่ได้สิทธิมากกว่า คือผู้ที่อยู่ในระบบภาษี หรือยื่นแบบแสดงรายการภาษี ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ที่เสียภาษีจริงกับรัฐเท่านั้น โดยเงื่อนไขการใช้จ่ายเบื้องต้นจะไม่แตกต่างจากโครงการเดิมมากนัก แต่อาจมีลูกเล่นใหม่เพิ่มเติมให้น่าสนใจมากขึ้น ส่วนวงเงินการใช้จ่ายต่อวันและวงเงินรวมของโครงการยังไม่ได้ข้อสรุป
...
สำหรับแหล่งเงินทุน รัฐบาลมีวงเงินเหลือจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดก่อน 25,000 ล้านบาท ที่สามารถนำมาใช้ได้ทันที หากใช้วงเงินนี้จะสามารถเดินหน้าโครงการได้เร็ว แต่ขนาดของโครงการจะขยายใหญ่กว่านี้หรือไม่ ต้องรอการตัดสินใจจากนโยบาย
โครงการคนละครึ่ง ใครได้บ้าง
สำหรับโครงการคนละครึ่งที่ผ่านมา จะเปิดให้ประชาชนและร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com ตามวันและเวลาที่กำหนด เมื่อลงทะเบียนผ่านแล้ว ให้ดาวน์โหลดและติดตั้งแอปพลิเคชัน ดังนี้
- ประชาชน ติดตั้งแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" เพื่อใช้จ่าย
- ร้านค้า ติดตั้งแอปพลิเคชัน "ถุงเงิน" เพื่อรับชำระเงินจากการขายสินค้า
ชงไอเดีย "ฟิตเนสคนละครึ่ง"
ทั้งนี้ ในช่วงหนึ่งของการประชุมคณะกรรมการพัฒนานโยบายสาธารณะว่าด้วยการสานพลังสร้างสภาวะแวดล้อมทางกายภาพและสังคมเพื่อลดโรคไม่ติดต่อ ของสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เมื่อวันที่ 12 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยมี นพ.โสภณ เมฆธน เป็นประธาน เพื่อร่วมกันหารือถึงความคืบหน้าและแนวทางในการลดโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ตามมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นฯ ที่มุ่งสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และนำมติไปขับเคลื่อนในระดับพื้นที่ ภายใต้แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อส่งเสริมการสร้างสภาวะแวดล้อมทางกายภาพและทางสังคมเพื่อลดโรคไม่ติดต่อ หรือ NCDs Ecosystem
นพ.โสภณ เปิดเผยว่า ปัจจัยของการลดโรค NCDs ต้องมุ่งความสำคัญในสองเรื่อง ได้แก่ การลดน้ำหนักควบคู่กับการออกกำลังกาย เรื่องนี้สามารถขับเคลื่อนได้ทั้งสองระดับคือในระดับนโยบายส่วนกลาง ที่ต้องแสวงหามาตรการหรือนวัตกรรมเข้ามาช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงในภาพกว้าง กับอีกส่วนคือการขับเคลื่อนในระดับพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นในระดับท้องถิ่น หน่วยงาน องค์กร หรือชุมชน ที่จะนำเครื่องมือหรือนวัตกรรมที่เกิดขึ้นไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสมสอดคล้องกับบริบทของแต่ละแห่ง
นพ.โสภณ กล่าวว่า ในระดับนโยบายตัวอย่างเช่น หากปัจจุบันมีการพูดถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยโครงการ "คนละครึ่ง" เราจะนำมากระตุ้นการออกกำลังกายด้วยได้หรือไม่ เมื่อประชาชนไปสมัครฟิตเนสแล้วรัฐช่วยออกให้อีกส่วนแบบนี้เป็นต้น ซึ่งบางองค์กรเอกชนก็มีการทำในลักษณะนี้ หรือ “หวยเกษียณ” ที่เป็นการออมเงินและลุ้นรางวัล ถ้าเอามาใช้กับกิจกรรมทางกายภาพ เดินออกกำลังกายสะสมเป็นแคลอรีเครดิตแล้วมาลุ้นรางวัลได้ เหล่านี้คือกลไกที่สามารถออกแบบมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างสภาวะแวดล้อมเพื่อลดโรค NCDs
ขณะเดียวกันในระดับพื้นที่เอง ก็สามารถดำเนินเป็นนโยบายของท้องถิ่น ตัวอย่างเช่นกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่ใช้กลไกภาษีที่ดินกระตุ้นให้ภาคเอกชนนำที่ดินเปล่ารกร้างมาให้ กทม. ทำสวน 15 นาที เป็นการปรับสภาพแวดล้อมที่ช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางกาย (Physical Activity: PA) หรือบางจังหวัดนำเครื่องมือ Calories Credit Challenge (CCC) ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ไปสร้างแรงจูงใจให้คนออกกำลังกาย เป็นต้น นอกจากนี้อีกส่วนสำคัญคือพัฒนาระบบฐานข้อมูล Big Data รวมถึงระบบการกำกับ ติดตาม ประเมินผล เพื่อที่จะสามารถชี้วัดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางสุขภาพของประชาชนได้
"สำหรับรัฐบาลใหม่ นายกรัฐมนตรีเองก็เคยเป็น รมว.สาธารณสุข เชื่อว่าท่านรู้ว่าคุณภาพชีวิตและสุขภาพของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญ มาตรการอะไรที่ดีและตรงกับนโยบายของท่าน ก็น่าจะถูกดึงไปขับเคลื่อนได้ในเร็ววัน ซึ่งก็ต้องรอติดตามกันต่อไป แต่ความจริงแล้วเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรอให้มีนโยบายระดับประเทศออกมาเท่านั้น เพราะในระดับจังหวัด องค์กร ชุมชน ล้วนสามารถเดินหน้าทำในภาพของแต่ละแห่งไปได้เลย มีอะไรเป็นนวัตกรรม รูปแบบการขับเคลื่อนที่ดี ก็สามารถนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้และขยายไปด้วยกัน" นพ.โสภณ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ยังต้องรอความชัดเจนอีกครั้งจากรัฐบาล หากมีความคืบหน้าเพิ่มเติมจะรายงานให้ทราบต่อไป.