"คนละครึ่ง" คืออะไร ย้อนทำความรู้จัก "โครงการคนละครึ่ง" เปิดรายละเอียดช่องทาง และวิธีการลงทะเบียนเป็นอย่างไร ใครบ้างที่ได้รับสิทธิ
จากกรณีที่ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าว "รัฐบาลอนุทิน" ต้องการฟื้นคืนโครงการคนละครึ่ง ว่า กรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทยมีแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทีมนโยบายมีการพูดคุยกันว่านโยบายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะสั้น จะมีอะไรบ้าง ซึ่งโครงการคนละครึ่งก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่อาจจะมีอะไรที่มากกว่า เช่น เรื่องสิทธิประโยชน์ที่มากขึ้น ซึ่งเรามีการรับฟังโครงการต่างๆ ที่เป็นโครงการที่ดีในอดีต ซึ่งโครงการเหล่านี้น่าจะนำมาต่อยอดได้และทำให้ดีขึ้น ข้อผิดพลาดของหลายโครงการที่ผ่านมาในอดีตไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใด ถ้าดีแต่ยังมีข้อผิดพลาดเราจะนำมาปรับปรุง
แม้ว่าหลายคนอาจรู้จักกันดีอยู่แล้ว สำหรับ "โครงการคนละครึ่ง" หรือที่เรียกกันสั้นๆ "คนละครึ่ง" แต่ทางไทยรัฐออนไลน์ ก็ขอพาย้อนกลับไปทำความรู้จักกับโครงการนี้อีกครั้ง เพื่อให้หลายคนได้ทำความเข้าใจถึงรายละเอียด และรูปแบบของโครงการกันมากยิ่งขึ้น เป็นการเตรียมความพร้อมหลังจากที่มีโอกาสจะถูกนำกลับมาพัฒนา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในรัฐบาลอนุทิน
"คนละครึ่ง" คืออะไร
สำหรับโครงการคนละครึ่ง หรือที่เรียกกันว่า "คนละครึ่ง" เป็นหนึ่งในมาตรการที่ดำเนินการโดยรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งริเริ่มขึ้นใน ปี พ.ศ. 2563 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 (COVID-19)
โดยมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ ด้วยการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน และช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ร้านค้ารายย่อยทั่วประเทศ เป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก และฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศทั้งระบบ ซึ่งการดึงร้านค้าอิสระให้มาเป็นร้านที่เข้าร่วมโครงการ ก็จะทำให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น และทำให้ผู้ที่เข้าร่วมโครงการมีรายได้เพิ่มมากขึ้น
...
รูปแบบการลงทะเบียน "โครงการคนละครึ่ง"
การลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง จะมีด้วยกัน 2 ส่วน คือ การลงทะเบียนรับสิทธิสำหรับประชาชน และการลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งสำหรับร้านค้า โดยรัฐบาลได้เข้ามาดำเนินการอุดหนุนการจับจ่ายใช้สอยในส่วนของประชาชนที่ได้รับสิทธิในโครงการคนละครึ่ง และให้ร้านค้าที่ต้องการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง
ซึ่งจะลงทะเบียนผ่าน เว็บไซต์ "คนละครึ่ง" โดยรัฐจะช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ครึ่งหนึ่งของมูลค่าสินค้า ในขณะที่ผู้ได้รับสิทธิจะต้องจ่ายเพิ่มอีกครึ่งหนึ่งของมูลค่าสินค้า
ช่องทางการลงทะเบียน "คนละครึ่ง"
การลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิโครงการคนละครึ่ง สามารถลงทะเบียนได้ 2 ช่องทาง ได้แก่
- ลงทะเบียนผ่าน www.คนละครึ่ง.com
- ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" พร้อมผูกกับกระเป๋าสตางค์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีชื่อว่า G-Wallet (กดแถบโครงการคนละครึ่ง)
สำหรับการใช้งานสามารถใช้สิทธิผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" ผู้ใช้จะต้องเติมเงินเข้ากระเป๋าสตางค์อิเล็กทรอนิกส์ (G-Wallet) โดยสามารถเติมได้ผ่าน 3 ช่องทาง คือ 1. Mobile Banking 2. QR Code PromptPay 3. ตู้ ATM
ทั้งนี้ ประเภทร้านค้าที่ร่วมโครงการคนละครึ่งสามารถเป็นร้านค้าที่เป็นร้านอาหาร เครื่องดื่ม และร้านค้าทั่วไป ยกเว้น สลากกินแบ่งรัฐบาล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ และการบริการ
คุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการ "คนละครึ่ง"
1. มีบัตรประจำตัวประชาชนและเป็นบุคคลสัญชาติไทย
2. มีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน
3. ไม่เป็นผู้ได้รับสิทธิโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ (ผ่านบัตรประชาชน) และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้
การใช้สิทธิ "คนละครึ่ง" ทำได้อย่างไร
ผู้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งจะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลไม่เกินวันละ 150 บาท ซึ่งโครงการคนละครึ่งจะดำเนินการจ่ายทั้งโครงการสูงสุดไม่เกิน 3,000 บาท ต่อคน
ตัวอย่างเช่น หากผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่ง จะซื้อสินค้าที่มีมูลค่า 200 บาท รัฐจะดำเนินการจ่ายให้ครึ่งหนึ่ง คือ 100 บาท และผู้ที่ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งจะต้องจ่ายเองอีก 100 บาท แต่หากผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งจะซื้อสินค้าที่มีมูลค่า 500 บาท รัฐจะดำเนินการจ่ายสูงสุดที่ 150 บาทเท่านั้น โดยอีก 350 บาทผู้ที่ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งต้องดำเนินการจ่ายเอง ประชาชนที่มีความประสงค์จะซื้อสินค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง จะต้องสังเกตป้ายโครงการคนละครึ่ง
ระยะเวลาโครงการคนละครึ่ง 5 เฟส
โครงการคนละครึ่ง ได้มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง 5 เฟส โดยมีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดและวงเงินสนับสนุนในแต่ละช่วงเวลา เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในขณะนั้น โดยแบ่งออกเป็น ดังนี้
- โครงการคนละครึ่ง เฟส 1
ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ผู้ที่ได้รับสิทธิจะได้รับวงเงินใช้จ่ายจำนวน 3,000 บาท มีประชาชนลงทะเบียน จำนวน 10 ล้านสิทธิ
- โครงการคนละครึ่ง เฟส 2
ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564 ขยายเวลาจากเฟส 1 และเพิ่มวงเงินสนับสนุนให้อีก 500 บาท สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนใหม่ ทำให้ผู้เข้าร่วมใหม่ได้รับเงินรวม 3,500 บาท ส่วนผู้ที่เคยได้รับสิทธิ์ในเฟส 1 จะได้รับเงินเพิ่มอีก 500 บาท มีประชาชนลงทะเบียน จำนวน 5 ล้านสิทธิ
- โครงการคนละครึ่ง เฟส 3
ระยะเวลาโครงการ เริ่มวันที่ 1 กรกฎาคม – 31 ธันวาคม 2564 วงเงินสนับสนุนเพิ่มขึ้นเป็น 3,000 บาทตลอดโครงการ สำหรับผู้ลงทะเบียนใหม่ และผู้ที่เคยได้รับสิทธิ์จะได้รับวงเงินเพิ่มอีก 1,500 บาท
- โครงการคนละครึ่ง เฟส 4
ระยะเวลาโครงการ เริ่มวันที่ 1 กุมภาพันธ์ – 30 เมษายน 2565 รัฐบาลขยายระยะเวลาโครงการและเพิ่มวงเงินสนับสนุนอีก 1,200 บาทต่อคน ให้แก่ผู้เข้าร่วมเดิมที่ยังคงสิทธิ์อยู่
- โครงการคนละครึ่ง เฟส 5
ระยะเวลาโครงการ: เริ่มวันที่ 1 กันยายน – 31 ตุลาคม 2565 มีการเพิ่มวงเงินสนับสนุนให้อีก 800 บาทต่อคน โดยเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
"คนละครึ่ง" กับ "ดิจิทัลวอลเลต" ต่างกันอย่างไร
โครงการใช้จ่าย "คนละครึ่ง" และ "ดิจิทัลวอลเลต" หรือที่มีชื่อเต็มว่า การลงทะเบียนโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ต่างก็มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน แต่มีข้อแตกต่างที่เห็นภาพได้ชัดดังนี้
วงเงินที่ได้รับ
- คนละครึ่ง : รัฐบาลช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ครึ่งหนึ่ง (50%) สูงสุดไม่เกินจำนวนที่กำหนดต่อวัน/ต่อโครงการ (เช่น 150 บาทต่อวัน, รวมสูงสุด 3,000-4,500 บาทต่อโครงการ)
- ดิจิทัลวอลเลต : ประชาชนจะได้รับเงินเต็มจำนวน 10,000 บาท
ช่องทางการลงทะเบียน
- คนละครึ่ง : ลงทะเบียนผ่าน www.คนละครึ่ง.com และ แอปฯ "เป๋าตัง"
- ดิจิทัลวอลเลต : ลงทะเบียนผ่านแอปฯ "ทางรัฐ"
รูปแบบการใช้เงิน
- คนละครึ่ง : ประชาชนต้องจ่ายเงินเอง 50% และรัฐจ่ายสมทบอีก 50%
- ดิจิทัลวอลเลต : รัฐโอนเงินดิจิทัลให้เต็มจำนวน 10,000 บาท ประชาชนไม่ต้องออกเงินสมทบ
พื้นที่การใช้จ่าย
- คนละครึ่ง : ใช้ได้กับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการทั่วประเทศ
- ดิจิทัลวอลเลต : ใช้จ่ายได้เฉพาะร้านค้าในเขตอำเภอตามที่อยู่ทะเบียนบ้าน
ข้อจำกัดด้านคุณสมบัติของผู้ลงทะเบียน
- คนละครึ่ง : มีสัญชาติไทยและมีบัตรประจำตัวประชาชน อายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ไม่เป็นผู้ได้รับสิทธิจากโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือโครงการอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน
- ดิจิทัลวอลเลต : มีสัญชาติไทยและมีบัตรประจำตัวประชาชน อายุ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ไม่เป็นผู้มีรายได้เกิน 840,000 บาท สำหรับปีภาษี 2566 ไม่เป็นผู้ที่มีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันเกิน 500,000 บาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่กล่าวข้างต้นเป็นรายละเอียดของโครงการ "คนละครึ่ง" ซึ่งดำเนินการมาในช่วงระยะเวลาระหว่างปี 2563 - 2565 เท่านั้น หากในสมัยรัฐบาลอนุทิน มีความคืบหน้าเกี่ยวกับ "โครงการคนละครึ่ง" เพิ่มเติมอีก จะรายงานให้ทราบต่อไป.