หลายเพจในโซเชียลตั้งคำถาม หลังการเสียชีวิตของ "ครูมัท" ครูสอนภาษาอังกฤษที่ต้องทำหน้าที่ครูการเงิน จี้ทบทวนปัญหาภาระงานครู ซึ่งเป็นผลมาจากกระบวนการที่ไม่มีประสิทธิภาพภายในโรงเรียน

วันที่ 17 มิ.ย. 68 จากกรณี การเสียชีวิตของ นางสาวอนุสรา หรือ ครูมัท ชวนรัมย์ อายุ 39 ปี ข้าราชการครูสอนภาษาอังกฤษของโรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ ที่ต้องมาทำหน้าที่เป็นครูการเงินด้วย โดยทิ้งจดหมายบอกเล่าสาเหตุเอาไว้ว่า เป็นเพราะตัวเองเหนื่อยล้ากับระบบงานที่ไม่มีประสิทธิภาพภายในโรงเรียน การทำงานไม่เป็นระบบ ให้เบิกเงินก่อนเคลียร์เอกสารทีหลัง ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น 

ต่อมา เพจเฟซบุ๊กต่างๆ ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็น เพจเฟซบุ๊ก "ครูขอสอน" ซึ่งโพสต์ข้อความระบุว่า [เครือข่ายเพจครูและการศึกษา ขอเชิญชวนแต่งชุดดำร่วมไว้อาลัยครูมัทและเรียกร้องศธ.ทบทวนปัญหาภาระงานครู]

จากกรณี “ครูมัท” ได้เขียนจดหมายฉบับสุดท้ายก่อนเสียชีวิตเล่าถึงความเครียดที่ต้องเผชิญอย่างหนัก จากเรื่องการทำงาน การเงิน การบัญชี ที่เธอต้องอยู่กับงานที่คั่งค้างและแก้ไขได้ยาก ซึ่งเป็นผลมาจากกระบวนการที่ไม่มีประสิทธิภาพภายในโรงเรียน

เพื่อเป็นการไว้อาลัยต่อการจากไป และเป็นการแสดงจุดยืนต่อวิชาชีพครู และต่อเพื่อนร่วมวิชาชีพ ที่ต้องเผชิญกับปัญหาภาระงาน และระบบที่ไม่เอื้อต่อการทำหน้าที่ครู ให้กระทรวงศึกษาธิการและผู้ที่เกี่ยวข้องทบทวนแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน

จึงขอเชิญชวนร่วมแต่งชุดดำ ตลอดสัปดาห์นี้ แสดงพลังต่อสู้ความไม่เป็นธรรมจากระบบที่กดทับครู ขอแสดงความเสียใจและขอให้ผู้เสียชีวิตไปสู่สุคติ

...

 

ขณะที่เฟซบุ๊กเพจ "ครูหนึ่ง - Teerasak Chiratrachoo" ซึ่งได้โพสต์ข้อความระบุว่า 10 ...ความเจ็บปวดของครูพัสดุ และการเงินใน รร. รัฐไทย]

ผมขอแสดงความเสียใจต่อการจากไปของครูมัท ครูสอนภาษาอังกฤษที่จังหวัดบุรีรัมย์ที่จบชีวิตของตัวเองลง คุณครูได้ทิ้งจดหมายลาโดยมีข้อความตอนหนึ่งว่าเป็นปัญหามาจากการทำงานของโรงเรียนโดยเฉพาะงานการเงินและพัสดุที่ไม่เป็นระบบ จนคุณครูเกิดความเครียดที่ต้องทำงานนี้

โพสต์นี้จึงตั้งใจจะทำให้ทุกคนได้เห็นความลำบากของอาชีพครู ในการต้องมารับผิดชอบเรื่องนี้ บางคนต้องรับภาระเรื่องนี้แบบจำยอม ที่สำคัญปัญหาเรื่องนี้ครูไทยพยายามส่งเสียงเพื่อหาทางออกกันมาหลายครั้งแล้ว แต่รัฐไม่เคยมุ่งแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้กับครูไทยอย่างจริงจังเลยแม้แต่ครั้งเดียว หรือถึงแม้พยายามจะแก้ก็เป็นการแก้ที่เน้นเป็นงานเอาหน้า ไม่ได้เห็นความซับซ้อนของปัญหานี้อย่างแท้จริง

ดังนั้นในส่วนที่จะแสดงนี้คือปัญหาภาระงานครูซึ่งเกี่ยวข้องกับ “การเงินและพัสดุ” ซึ่งเป็นงานที่ครูไม่อยากทำ แต่จำเป็นต้องทำ และต้องทำอย่างรอบคอบไม่เช่นนั้นอาจจะส่งผลต่อชีวิตราชการของคุณครูได้ (ข้อมูลส่วนหนึ่งได้มาจากการเก็บข้อมูลจากแบบสอบถามออนไลน์ N=1785)

(1) ทุกๆ การดำเนินโครงการของโรงเรียน ทุกๆ การ “จัดซื้อ” สื่อการเรียนการสอน ครุภัณฑ์ การ “จัดจ้าง” บุคคลมาทำงานในโรงเรียน ครูจะต้องทำเอกสาร 10-30 แผ่น ต่อการทำโครงการ 1 โครงการ หรือต่อการจัดซื้อจัดจ้าง 1 ครั้ง ลองคำนวณดูคร่าวๆ ว่าแค่โรงเรียนสังกัด สพฐ. มีอยู่ 29,000 กว่าแห่ง จะต้องใช้กระดาษปีหลายล้านแผ่น เสียงบประมาณทั้งค่าหมึก ค่าอุปกรณ์ ค่ากระดาษ ปีละหลายล้าน

(2) จากการสอบถามครู พบว่า ครูที่ทำการเงินและพัสดุจะสูญเสียเวลาไปประมาณ 25-31 วันเพื่อจัดทำเอกสารเกี่ยวข้องกับการเงินและพัสดุส่งเขตพื้นที่การศึกษา หรือต้นสังกัด จากเวลาเข้าทำงาน 200-220 วันต่อปีการศึกษา และการทำงานส่วนนี้กัดกร่อนเวลาของครอบครัว เวลาพักผ่อนหลังเวลาราชการของคุณครูเป็นอย่างยิ่ง

(3) ครูในโรงเรียนขนาดเล็กที่ต้องทำเรื่องการเงินและพัสดุจะทำงาน “เหนื่อยและหนัก” กว่าครูในโรงเรียนขนาดใหญ่ที่มีเงินนอกงบประมาณสามารถจัดจ้างครูเจ้าหน้าที่การเงินและพัสดุได้ง่ายกว่า ครูประถมในโรงเรียนขนาดเล็ก+ขยายโอกาส ทำงานหนักกว่าครูในโรงเรียนมัธยมขนาดเล็ก (ครูมัธยมฯ ไม่มีภาระเรื่องการเงินและพัสดุที่เกี่ยวข้องกับโครงการอาหารกลางวัน และนมโรงเรียน)

(4) การได้มาของเงินนอกงบประมาณ เช่น การทอดผ้าป่า การขอรับบริจาค การระดมทรัพยากรด้วยวิธีต่างๆ โรงเรียนขนาดใหญ่จะได้เปรียบโรงเรียนขนาดเล็กเสมอๆ เนื่องด้วยโรงเรียนขนาดมีสายป่านยาว สามารถจัดจ้างคนได้ง่ายกว่า ดึงดูดคนทำงานได้ดีกว่า โรงเรียนขนาดใหญ่นี้ยังดึงทรัพยากรบุคคล เช่นครูเก่งๆ ผู้บริหารเก่งๆ ไปอยู่โรงเรียนได้ง่ายและมากขึ้นในทุกวัน ไม่มีใครอยากอยู่โรงเรียนขนาดเล็ก (ส่วนดูหลักฐานจากการเขียนขอย้ายผ่านระบบ TRS ของ ก.ค.ศ.ได้) สะท้อนความเหลื่อมล้ำด้านการบริหารจัดการได้อย่างชัดเจน

(5) โรงเรียนบางโรงต้องสละอัตรากำลังของครู เพื่อไปทำหน้าที่การเงินและพัสดุของโรงเรียนเป็นการเฉพาะ โดยจัดให้มีตารางสอนหลอก ให้ครูคนนั้นเสมือนว่ามีคาบสอนแต่แท้จริงแล้วไม่ได้สอน แต่เอาเวลาไปทำการเงิน และพัสดุ ถึงแม้ความต้องการที่แท้จริงของโรงเรียนจะต้องการเจ้าหน้าที่การเงินและพัสดุ แต่หากได้อัตรากำลังที่เป็นครูมาทำหน้าที่ก็ต้องกำหนดให้มีคาบสอน เพราะครูจะไม่มีคาบสอนไม่ได้ จึงต้องใช้วิธีเลี่ยงบาลีแบบนี้

(6) ทุกการจัดซื้อจัดจ้างที่ต้องเกี่ยวข้องกับเอกสารทางการเงิน เมื่อทำเอกสารแล้วเอกสารนี้จะต้องถูกส่งเอกสารตัวจริง ไปเก็บไว้ที่เขตพื้นที่ ถึงแม้จะมีการสแกนเป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์เก็บไว้ใน drive ก็ต้องนำเอกสารตัวจริงไปส่งเขตพื้นที่อยู่ดี ส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่าหากถูกตรวจสอบจาก สตง. จะได้มีเอกสารไว้แสดง โรงเรียนไม่สามารถทำเฉพาะบนอิเล็กทรอนิกส์ได้

(7) การจัดส่งเอกสารไปที่เขตพื้นที่ หรือต้นสังกัดอื่นๆ ของแต่ละโรงเรียนมีระยะทางและงบประมาณที่จะต้องเสียแตกต่างกัน โรงเรียนขนาดใหญ่อาจมีเจ้าหน้าที่รถตู้วิ่งรับส่งเอกสารไปยังเขตพื้นที่ให้กับโรงเรียน แต่โรงเรียนขนาดเล็กครูต้องใช้ “เงินค่าน้ำมันส่วนตัว” และ “รถส่วนตัว” วิ่งรับ-ส่งเอกสารไปยังเขตพื้นที่โดยต่อ 1 ปีการศึกษา จะไม่ต่ำกว่า 10 รอบ

(8) การจัดซื้อจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานครุภัณฑ์ ซึ่งบางครั้งราคาตามมาตรฐานครุภัณฑ์จะแพงกว่าราคาจริงตามปกติ การจัดซื้อ จัดจ้าง บางครั้งเป็นไปอย่างขาดอิสระ เพราะผู้บริหารมักมีเจ้าในใจอยู่แล้ว ส่วนนี้บางครั้งเกิดการกดดันให้ครูทำอะไรนอกระเบียบก็มี

(9) การตรวจรับพัสดุ การตรวจรับตึกที่เพิ่งสร้างเสร็จ หลายโรงเรียนใช้การตั้งคณะกรรมการตรวจรับมาจากครูในโรงเรียน งานเหล่านี้เป็นงานที่ครูกังวลมากที่สุดงานหนึ่งเนื่องจากตนเองไม่ได้มีความรู้ด้านมาตรฐานคุณภาพ หรือวิศวกรรม แต่จำเป็นต้องทำเนื่องจากเป็นคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ส่วนนี้ถ้ามีการทุจริต การฮั้ว เกิดขึ้น การลงโทษทางวินัยก็จะตกไปถึงครูเหล่านี้ด้วยอย่างปฏิเสธไม่ได้

(10) ปัจจุบันการจัดจ้างพนักงานธุรการ เข้ามาทำเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง หรือการเงิน หลายเขตพื้นที่มีอัตรากำลัง แต่ไม่มีงบประมาณมาจ้างคนทำงานตรงนี้ พูดง่ายๆ คือมีตำแหน่งว่างแต่ไม่มีเงินจ้าง

ขอย้ำว่า 10 ปัญหาที่พูดมานี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องใหญ่ที่คนในกระทรวง ศธ. รู้มานานแสนนาน โดยไม่มีใครคิดแก้ไขจริงจัง ครูที่รับกับระบบนี้ไม่ได้ก็ใช้วิธีการแบบแพ้คัดออกตามธรรมชาติ ทนได้ก็ทนกันไป ทนไม่ได้ก็ให้ลาออกไปเอง หรือแม้แต่การคงวาทกรรมที่ว่า “เป็นครูต้องเสียสละ” ให้ครูต้องทนอยู่กับปัญหานี้มานานอย่างไร้ความปรานี อยากถามจริงๆ ว่าครูต้องเสียสละไปอีกกี่ปี ปัญหาเหล่านี้จึงหมดไป

ผมเชื่อว่านอกจากปัญหาที่ผมเขียนนี้ยังมีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ อีกมากที่ทำให้ครูไม่ได้สอน และเด็กไม่ได้เรียนผมอยากให้กระทรวงศึกษาธิการจริงใจที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะบางเรื่องต้องแก้ในระดับกฎหมายลำดับศักดิ์พระราชบัญญัติ เช่น พ.ร.บ. การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 หรือกฎหมายในระดับกฎกระทรวง หรือระเบียบของกระทรวงการคลัง ที่ไม่ทันสมัย โดยเปิดโอกาสให้ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยงานส่วนนี้ได้มากขึ้น ที่สำคัญอาจจะต้องเปลี่ยนวิธีคิดของ สตง. ที่เวลามาตรวจก็ให้ยึดโลกของความเป็นจริงให้มากขึ้น สภาพปัญหาตรงนี้ก็น่าจะพอลดไปได้บ้าง


ส่วนเพจเฟซบุ๊ก "อะไรอะไรก็ครู" ได้โพสต์ภาพของการแสดงความคิดเห็นจากบุคคลต่างๆ ในเรื่องของครูมัท พร้อมข้อความระบุว่า "พอจะเห็นภาพมั้ยครับ ว่ามันดึงครูออกจากห้องเรียนขนาดไหน และคุณภาพจะเกิดได้อย่างไร ถ้าครูถูกพรากออกมาจากเด็กนักเรียนแบบนี้ ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ(ไปสิ) หนีก็ไม่ได้ ย้ายโรงเรียนสืบเจอว่าเคยทำการเงินมา ก็โดนให้ทำต่ออีก"


เช่นเดียวกับเฟซบุ๊กเพจ "ครูหมี" โพสต์ข้อความว่า "จากครูท่านหนึ่งฝากมาครับ  “ครูธุรการตายไปกี่คนแล้ว…ใครจำได้บ้าง?” หลายสิบปีที่ผ่านมา เราสูญเสียเพื่อนครูที่เครียดจากภาระงานไม่ใช่น้อย...บางคนล้มป่วย บางคนลาออก บางคนสิ้นใจ แต่สุดท้าย...ก็ถูกลืม เหมือนไม่เคยมีอยู่ในระบบ

ในอดีต เราเคยมี “ครูธุรการ-ครูพัสดุ” ที่บรรจุในตำแหน่ง ครู1-2 แต่วันนี้...หายหมด เพราะไม่มีทางเติบโตในสายงาน ต้องดิ้นรนเปลี่ยนสายเป็น “ครูผู้สอน” เท่านั้น ถึงจะได้เลื่อนวิทยฐานะ ถึงจะมีอนาคต

เพราะในระบบนี้ “คนที่โตได้” มีแค่ครูผู้สอน ส่วนคนที่ทำบัญชี ทำพัสดุ วิ่งหงุดๆ กับเอกสารราชการ — เป็นแค่ “ตัวประกอบ” ที่ไม่มีใครเห็น

ตอนปฏิรูปการศึกษา มีการพูดถึง “ข้าราชการครูสายสนับสนุน” ดีครับ...แต่มีแค่ในสำนักงานเขต ส่วนในโรงเรียนที่มีงานธุรการกองอยู่เต็มโต๊ะ? ไม่มีใครพูดถึง ไม่มีตำแหน่งให้ ไม่มีโอกาสให้ ไม่มีความก้าวหน้าให้ แล้วจะบรรจุสายสนับสนุนใหม่ โดยโยนเข้าระบบข้าราชการพลเรือน?

อย่าทำให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยแบบที่เคยเกิดกับข้าราชการใน สปช. ไม่มีเส้นทาง ไม่มีการเติบโต มีแค่คำว่า “อดทนไปก่อนนะ” จนวันสุดท้ายของชีวิตราชการ หรือถ้าไม่คิดจะทำให้จริงจัง ก็ให้ ผอ. กับรองฯ ที่ไม่มีชั่วโมงสอน รับหน้าที่ทำธุรการแทนเลยสิ จะได้ไม่ต้องโยนภาระให้คนที่ไม่มีแม้แต่เก้าอี้ประจำ หยุดใช้คำว่าทีมงาน ถ้ายังไม่คิดให้เกียรติเขาเท่ากัน หยุดเรียกเขาว่า “คนช่วยงาน” ถ้าระบบยังไม่คิดช่วยเขาเลย