"ทราย สก๊อต" เปิดใจหลังเจอดราม่า ลั่นยอมเสียสละพูดสิ่งที่มันถูกต้อง ชี้การอนุรักษ์อยู่คู่กับกฎหมาย ไม่มีคำว่าเข้มงวด มีแค่ถูกหรือไม่ถูก
จากกรณีดราม่า "ทราย สก๊อต" หรือ "สิรณัฐ สก๊อต" ประกาศยุติบทบาท ที่ปรึกษาอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช หลังโพสต์คลิปวิดีโอ ตักเตือนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่แสดงพฤติกรรม เหยียดเชื้อชาติ ด้วยการพูดทักทายว่า "หนี ห่าว" ใส่เจ้าหน้าที่ ขณะมาท่องเที่ยวที่ทะเลภาคใต้ หลังคลิปถูกเผยแพร่ออกไป มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก ต่อมามีรายงานว่า นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้พิจารณาทบทวนยกเลิกคำสั่งที่ปรึกษาอธิบดีฯ ของ "ทราย สก๊อต" แล้ว
ล่าสุด วันที่ 21 เม.ย. 2568 ทราย สก๊อต ได้เปิดเผยถึงทุกประเด็นในรายการ "ข่าวใส่ไข่" ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32 ว่า ได้ทำหน้าที่มาประมาณ 1 ปีแล้ว พยายามเรียนรู้จากทุกมุมมองเพื่อจะได้เข้าใจแนวทางอนุรักษ์ว่ามันยังมีแนวโน้มอะไรที่จะทำให้ดีขึ้น ซึ่งรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรดีขึ้น เลยตัดสินใจจะลาออก แต่ก่อนจะออกขอให้ทุกคนรู้ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้น มันมาจากใคร มันเกิดขึ้นทำไม และมันกำลังเป็นอะไรอยู่ จึงเป็นที่มาของคลิปช่วงสุดท้าย แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นสิ่งที่ทุกคนตกใจ ซึ่งก็ดีใจที่ทุกคนตกใจเพราะมันคือทรัพยากรของพวกเรา แสดงว่าทุกคนสนใจและแคร์
ที่มาของการมาเป็นที่ปรึกษา เริ่มต้นจากคิดว่าทะเลคือเซฟโซนของผม ตอนลงไปอยู่ในน้ำ ไม่ได้รู้สึกเครียด กลัวฉลาม แต่รู้สึกว่านี่คือภาพอีกด้านของเรา ด้วยความที่เราว่ายน้ำเก่งมันเลยอำนวยต่อการที่เราอยู่ในน้ำนาน พอได้อยู่นานๆ รู้จักพื้นที่ทำให้รู้สึกผูกพันจนทำให้สนิทกับทะเล เลยทำให้รู้สึกว่าเป็นกิจกรรมที่ดีต่อใจที่จะได้ปกป้องทะเล ได้แสดงความรักให้กับทะเล
...
กระทั่งมาเป็นข่าวว่ายน้ำข้ามเกาะ 30 กม. ก็ได้มารู้จักกับหัวหน้าอุทยานฯ แล้วก็ได้ทำโครงการว่ายน้ำข้ามจังหวัดอีกรอบ คือจากกระบี่ไปภูเก็ต 50 กม. จำนวน 2 วัน นั่นเป็นที่มา แต่จุดที่ทำให้เราเป็นที่เชื่อมั่นคือ เราชอบเป็นเจ้าหน้าที่นอกรอบอยู่แล้ว ก่อนที่จะได้การแต่งตั้งมีวันหนึ่งมีนักท่องเที่ยวฝรั่งชาวสเปน ว่ายน้ำกับเพื่อนหน้าหาด แล้วเขาจมน้ำ ซึ่งตอนนั้นเราอยู่แล้วว่ายไปช่วยเขาเลยคนเดียว การที่ได้ช่วยชีวิตเขาในนั้นเขาคงเห็นว่าเราคงเหมาะไปช่วยงานอุทยานฯ เลยแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษา
สำหรับหน้าที่ตามที่ตกลงกันไว้ในหนังสือแต่งตั้ง คือ ช่วยประชาสัมพันธ์เรื่องแนวทางการอนุรักษ์ ส่งเสริมภารกิจหน้างาน-หลังงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์ เป็นผู้ประสานระหว่างคนในพื้นที่กับอธิบดีกรมอุทยานฯ รายงานต่างๆ ให้เขา เป็นมือที่ช่วยงานอนุรักษ์ให้อุทยานฯ ตามที่เราตกลงกันไว้
การอนุรักษ์สไตล์ทรายคิดว่ามันเข้มงวดหรือสุดโต่งไปไหมนั้น เรื่องการอนุรักษ์เราอยู่กับกฎหมาย และในเรื่องของกฎหมาย มันไม่มีคำว่าเข้มงวด มันมีแค่ถูกหรือไม่ถูก สีเทาของกฎหมายคือผิดกฎหมาย ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด คำว่าอนุโลมจะไม่มี ถ้าอนุโลมคือคอร์รัปชัน
ส่วนที่บางคนบอกว่าการที่เราทำแบบนี้มันตึงไปไหม หรือการที่คนใช้ชีวิตแบบนี้มาเป็นเวลานาน ต้องการเวลาในการปรับตัวนั้น คิดว่าสิ่งที่เราพูดมันเป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่อุทยานก่อตั้งแล้ว 50 ปี ซึ่งถ้าคุณต้องใช้เวลาในการปรับตัว 50 ปี มันไม่น่าจะใช่เจตนาของคนที่ต้องการปรับตัวแล้ว
หลังจากนี้คงต้องไปทำใจเรื่องที่ปะการังตายโหรงก่อน สำหรับคนอื่นอาจจะไม่ใช่เรื่องสะเทือนอารมณ์ แต่สำหรับเรามันใช่เพราะอยู่กับเขามานาน แล้วก็รู้สึกว่าทุกอย่างที่อยากให้สังคมตื่นและสนใจ เขาก็ได้ตื่นแล้ว คิดว่าสิ่งที่เราตั้งใจทำมันก็สำเร็จ สำหรับนักอนุรักษ์การที่ทุกคนแค่มาพูดถึงเรื่องทะเล ทำให้รู้สึกโล่งแล้ว แม้การที่ออกมาพูดแล้วโดนโจมตีนั้น คิดว่ายอมเสียสละเพื่อพูดสิ่งที่มันถูกต้อง เพื่อดำเนินงานอนุรักษ์ให้มันไปทิศทางที่ดีในประเทศ ความรู้สึกเราไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคืออนาคตของลูกหลาน ทรัพยากรในประเทศจะเป็นยังไง
สำหรับแฮชแท็ก #saveทราย #คืนทรายให้ทะเล นั้น จริงๆ ร้องไห้เรื่องนี้มาเยอะแล้ว เพราะเราไม่นึกว่าสิ่งที่เราเสียสละ คนจะรับทราบหรือเข้าใจ แต่กลายเป็นว่าทุกอย่างที่เราทำไปทุกคนเข้าใจหมด พูดจริงๆ ตอนแรกรู้สึกว่าเมื่อย้ายกลับไปทะเลไม่ได้ ก็ไม่ต้องมาจับเรื่องนี้อีก แต่ทุกคนส่งพลังให้เรา เหมือนคืนชีวิตให้ใหม่ ตอนนี้รู้สึกว่าแนวทางของเรามันมีทิศทาง เราจะไปต่อ แม้ไม่รู้จะไปต่อในทางไหน ทรายกับทะเลมันมาด้วย ก็ต้องรอดูว่าจะไปแบบไหนต่อ.