รพ.หัวเฉียว ออกประกาศ ยันไม่ได้นิ่งนอนใจ สั่งหมอบุกแย่งลูกวัย 1 เดือน หยุดปฏิบัติหน้าที่ จนกว่าข้อเท็จจริงจะปรากฏ

จากกรณี "ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง" พา น.ส.น้ำฝน (นามสมมติ) อายุ 26 ปี พร้อมแม่ เดินทางเข้าพบ ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ช่วยเหลือหลังถูกแม่อดีตสามี ซึ่งเป็นแพทย์ใหญ่ในโรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่งใน กทม. กีดกันไม่ต้อนรับเป็นลูกสะใภ้ ส่วนอดีตสามีก็เชื่อฟังแม่ ขนาดตั้งท้องอยู่ยังไม่เห็นใจ สั่งห้ามเข้าบ้านให้นั่งรออยู่ในรถร้อนๆ นานกว่า 2 ชั่วโมง และขอตัดสัมพันธ์ห้ามเธอมายุ่งเกี่ยววุ่นวายอีกเพราะจะกระทบต่อหน้าที่การงาน

มิหนำซ้ำหลังคลอดลูกได้เพียง 1 เดือน อดีตสามีและแม่สามี ได้บุกเข้าไปในบ้านของพี่ชาย แย่งลูกน้อยออกไปจากอ้อมอก โดยวงจรปิดสามารถจับภาพเหตุการณ์เอาไว้ได้ ขณะที่อดีตสามี กำลังพูดคุยกับ น.ส.น้ำฝน ในลักษณะโต้เถียง โดยที่มีแม่ของฝ่ายชายอุ้มเด็กอยู่ ส่วนแม่ของฝ่ายหญิงนั่งดูเหตุการณ์อยู่ที่โซฟา หลังจากนั้นไม่นาน ฝ่ายหญิงลุกขึ้นเดินจะไปอุ้มลูกของตัวเอง ปรากฏว่าแม่ของฝ่ายชายและตัวของฝ่ายชายเองกีดกันไม่ให้อุ้ม จากนั้นก็มีการยื้อยุดฉุดกระชาก ลากกันไปถึงหน้าบ้าน โดยที่ฝ่ายหญิงพยายามจะวิ่งเข้าไปแย่งลูกของตัวเองกลับคืนมา แต่ก็ถูกฝ่ายชายทั้งผลัก ทั้งกัน ไม่ให้เธอเข้าใกล้ลูก จนเธอหมดแรง ล้มลงไปนั่งกองกับพื้นเพราะเจ็บแผลผ่าตัดหลังคลอดลูกได้เพียง 1 เดือน จากนั้นแม่ฝ่ายชายและฝ่ายชายก็รีบอุ้มลูกของเธอขึ้นรถขับออกไปต่อหน้าต่อตา

น.ส.น้ำฝน (นามสมมุติ) อายุ 26 ปี กล่าวว่า ตนรู้จักกับนายบอย (นามสมมติ) เป็นหมอโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ผ่านทางแอปฯหาคู่ ช่วงปลายปี 2566 หลังจากนั้นพูดคุยกันเรื่อยมานานประมาณ 2 เดือน จึงมีการนัดเดทกันครั้งแรก ซึ่งเดทแรก รู้สึกแปลกๆ หลายอย่าง เพราะฝ่ายชายจะขอให้หารและแชร์กันทุกอย่าง แม้กระทั่งค่ารถไฟฟ้า ค่าอาหาร Vat และเซอร์วิสชาร์จ หลังจากเดทแรกก็กลับมาพูดคุยกันต่อผ่านไลน์ แต่ยังไม่ได้ตกลงคบหากันเป็นแฟน หลังจากนั้นต่างฝ่ายก็หายขาดการติดต่อกันไป

...

ต่อมานายบอย (นามสมมติ) ติดต่อกลับมาอีกครั้ง และคุยกันจริงจังมากขึ้นจนตกลงเป็นแฟนกัน ซึ่งหลังจากนั้นนายบอยก็ขนข้าวของย้ายมาอยู่กับตนที่หอพักย่านสะพานพระราม 8 โดยที่ค่าหอพัก ค่าน้ำ ค่าไฟต่างๆ ตัวเองเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด ส่วนของใช้อะไรที่ซื้อมาใช้ร่วมกันก็หารครึ่ง ระหว่างที่คบกัน ตนก็พยายามเช็คว่านายบอยมีครอบครัวอยู่แล้วหรือไม่ ซึ่งตนค่อนข้างมั่นใจว่านายบอยยังไม่มีครอบครัว เป็นหมอหนุ่มโสด แต่เคยจับได้ว่านายบอยแอบเล่นแอปฯหาคู่ และมีการนัดเจอกับผู้หญิงในแอปฯ ทำให้มีปัญหาทะเลาะกันเรื่อยมา ซึ่งทุกครั้งที่มีปัญหากันนายบอยจะเอาเรื่องไปฟ้องแม่ของตัวเองตลอด และไม่รู้ว่าพูดถึงตนยังไงบ้าง แต่แม่ของนายบอยไม่ค่อยชอบตน สุดท้ายตนจึงตัดสินใจขอเลิกรา ก่อนจะพบว่าตั้งท้อง จึงทำให้ไม่สามารถเลิกรากับทางหมอได้

ซึ่งในระหว่างที่ตนตั้งท้อง นายบอยไม่ได้ดูแลดีเท่าที่ควร แม้กระทั่งฝากครรภ์ตนยังต้องนั่งรถไปเองกับแม่ ส่วนค่าใช้จ่ายนายบอยขอรับผิดชอบ แค่ 60% ตนออก 40% ซึ่งฝ่ายชายก็ไม่ได้แนะนำหรือชักชวนให้เธอมาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลที่ตัวเองทำงานอยู่ด้วย ต่อมานายบอยเคยมาพูดคุยกันเรื่องจดทะเบียนสมรสและจัดงานแต่งให้ถูกต้อง แต่พอไปปรึกษากับแม่ของนายบอยได้ข้อสรุปว่า ไม่ให้จดทะเบียนสมรส แต่จะจัดงานแต่งให้ โดยออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด ซึ่งทางครอบครัวตนไม่ได้เรียกร้องค่าสินสอดสักบาท ซึ่งวันงานแขกทางฝั่งของตนมา 500 คน ส่วนแขกทางฝั่งนายบอยมา 3 คน คือ แม่, พี่ชาย และ น้องชายของนายบอย

หลังจากงานแต่งก็หวังว่าชีวิตคู่จะดีขึ้น แม่สามีอาจจะเปิดใจต้อนรับตนมากขึ้น ตอนนั้นอายุครรภ์ได้ 4 เดือน นายบอยพาตนไปที่บ้านแม่ที่อยู่ย่านสาทร เป็นอาคารพาณิชย์ติดริมถนน ซึ่งพอไปถึงนายบอยให้ตนนั่งรออยู่ที่รถไม่ให้เข้าไปในบ้าน เพราะว่าแม่สั่งห้ามไว้ ซึ่งตนทราบมาตลอดแล้วว่าแม่ฝ่ายชายไม่ค่อยปลื้มเธอเท่าไร แต่ไม่คิดว่าถึงขนาดนี้ ซึ่งแม่นายบอยจะดูถูกเธอตลอดว่า ตั้งใจปล่อยให้ท้องเพื่อจะจับลูกชายเขาที่เป็นถึงหมอ รพ.เอกชน สุดท้ายวันนั้นเธอต้องนั่งรออยู่ในรถนาน 2 ชั่วโมง จนกระเพาะปัสสาวะอักเสบ และต้องแอดมิดโรงพยาบาลทันที โดยที่นายบอยทิ้งให้ตนอยู่โรงพยาบาลคนเดียวลำพัง

เรื่องยังไม่จบแค่นั้น หลังเธอออกจากโรงพยาบาล แม่ของนายบอยออกอุบายขอมาดูที่หอพักว่ากินอยู่กันยังไง พอตนหลงเชื่อให้มาหาปรากฏว่าแม่สามีพาพี่และน้องของหมอมาด้วยอีก 2 คน และสวมใส่ถุงมือก่อนเข้ามารื้อค้นภายในห้องพักของตน และขนข้าวของเสื้อผ้าของใช้ต่างๆของนายบอยกลับออกไปทั้งหมด และสั่งห้ามยุ่งเกี่ยวกับนายบอยอีก ส่วนเด็กหลังคลอดแล้วให้เอาเด็กมา ทางบ้านฝ่ายชายจะเลี้ยงเอง หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ตนเครียดจนมีภาวะซึมเศร้า ตนต้องเปลี่ยนกุญแจหอพักและขังตัวเองไว้ในห้องเพราะกลัวว่าแม่ของนายบอยจะบุกมาอีก

ซึ่งจากนั้นนายบอยก็ขาดการติดต่อและหายไปเลย ตนก็พยายามส่งข้อความและอัพเดทเรื่องลูกในท้องให้ทราบตลอด จนกระทั่งวันที่ตนคลอดลูกเมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นายบอยและแม่ มาปรากฏตัวที่ห้องรอคลอดและเอาเอกสารสัญญามาให้ตนเซ็น โดยมี 2 ทางเลือก 1.หลังคลอดให้ยกลูกให้ทางบ้านนายบอยและจะให้เงินเดือนละ 10,000 บาท แต่มีข้อแม้ว่า ตนรวมถึงครอบครัวต้องไม่มา ยุ่งเกี่ยววุ่นวายอีก 2.หากตนจะเอาเด็กไปเลี้ยงดูเอง ก็ต้องตัดขาดกับทางนายบอย โดยที่จะไม่ส่งเสียค่าเลี้ยงดูใดๆ และไม่รับรองบุตร ซึ่งตอนนั้นตนเลือกอะไรไม่ได้และกำลังนอนอยู่บนเตียงรอคลอด ตนเครียดมากจนหัวใจและความดันเต้นสูง ทำให้เด็กในท้องไม่ดิ้น มีภาวะหัวใจเต้นอ่อน จนสุดท้ายอาจารย์หมอต้องเข้ามาช่วยเจรจาขอให้ตนได้ทำการคลอดอะไรให้เสร็จเรียบร้อยก่อน ซึ่งตนยังไม่ได้ตอบรับข้อตกลงหรือเลือกข้อไหน

สุดท้ายปัญหาก็ยังคาราคาซังจนกระทั่งหลังคลอด ตนรีบเอาลูกกลับมาเลี้ยงที่บ้านต่างจังหวัด นายบอยและแม่ก็พยายามมาบีบบังคับให้ตนเลือกและเซ็นสัญญา จนสุดท้ายตนเซ็นสัญญาและเลือกข้อ 1.ยกลูกให้ทางบ้านนายบอยและจะให้เงินเดือนละ 10,000 บาท และตนกับครอบครัวจะไม่มายุ่งเกี่ยววุ่นวายอีก แต่หลังจากนั้นตนรู้สึกคิดถึงลูก อยากเจอลูก จึงขอร้องทางบ้านนายบอย ซึ่งบ้านนายบอยก็ยอมให้เจอ โดยสลับกันเอาลูกไปเลี้ยงคนละ 3-4 วัน

กระทั่งวันเกิดเหตุ (21 มี.ค. 68) แม่นายบอยขอเข้ามารับหลาน ซึ่งนัดกันที่บ้านของพี่ชายตน และครั้งนี้ตนรู้สึกตะหงิดๆแปลกๆ ว่าถ้ายอมให้ลูกไปจะทำให้ตนไม่ได้เจอลูกอีก พอนายบอยและแม่มาถึงก็ขออุ้มหลาน ซึ่งตนและแม่ของตนที่นั่งอยู่บนโซฟาจึงถามไปว่ารอบนี้เอาไปกี่วันและจะให้ตนได้เจอลูกอีกเมื่อไหร แม่นายบอยตอบกลับมาแบบห้วนๆ ว่า “ไม่รู้ ฉันขอคิดดูก่อน” ตนจึงพยายามเข้าไปแย่งลูกกลับคืน เหตุการณ์ก็เป็นไปตามคลิปที่ปรากฏ

หลังจากนั้นตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค. ที่ผ่านมา ตนก็ไม่ได้เจอหน้าลูกอีกเลย และนายบอยก็บล็อกตนทุกช่องทาง ซึ่งตอนนี้ตนไม่รู้ว่าลูกของตนนั้นไปอยู่ที่ไหน มีความเป็นอยู่เป็นอย่างไรบ้าง ตนคิดถึงลูกมากและทรมานหัวใจจะขาด อยากวอนขอนายบอยและแม่ของนายบอย คืนลูกสาวให้กับตน ตนไม่อยากเรียกร้องอะไร มั่นใจว่าตนและครอบครัวจะสามารถเลี้ยงดูแลเด็กคนนี้ได้

ด้าน ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า วันนี้ทางคุณต้นอ้อ เป็นหนึ่ง ได้พาน้องผู้หญิงซึ่งมีปัญหาในครอบครัว โดยมีคู่กรณีเป็นนายแพทย์ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน กทม. และมีข้อสงสัยในสัญญาการเลี้ยงดูบุตร โดยให้ยกลูกให้ฝ่ายชายเลี้ยงดูฝ่ายเดียวนั้นถูกต้องหรือไม่ และเรื่องของจริยธรรมการเป็นหมอของแพทยสภา การนำตัวเด็กวัยแค่ 1 เดือนเศษไปจากมารดาเข้าข้อกฎหมายการพรากผู้เยาว์หรือไม่ หรือแม้การบุกเข้าไปในเคหสถาน

เบื้องต้นเราจะตรวจสอบในด้านของข้อกฎหมายก่อน ประเด็นที่ครอบครัวฝ่ายชายไม่ให้เด็กพบกับมารดาในฐานะผู้ปกครองโดยชอบด้วยกฎหมาย อาจจะต้องร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งคุ้มครองก่อน ในเรื่องของการปกครองบุตรต้องมีการพูดคุยร่วมกัน และเชิญคุณหมอที่เกี่ยวข้องเข้ามาพูดคุยว่ามีความจำเป็นอย่างไรต้องทำสัญญาแบบนี้ อยู่ด้วยกันไม่ได้ไม่เป็นไรแต่เรื่องของครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ และเด็กมีอายุเพียงแค่ 1 เดือนเศษ มีความจำเป็นต้องกินนมมารดาเป็นหลักอยากฝากถึงครอบครัวของหมอที่เกี่ยวข้องว่าเราควรมาพูดคุยกันก่อนเข้าสู่กระบวนการที่จะต้องใช้กฎหมายบังคับต่อไป

ความคืบหน้าล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก "โรงพยาบาลหัวเฉียว" ได้โพสต์ข้อความระบุว่า "ตามที่มีข่าวและกระแสในสื่อต่างๆ เกี่ยวข้องกับบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาล และทำให้เกิดความกังวลใจในสังคม โรงพยาบาลฯ มิได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด

โรงพยาบาลฯ ขอเรียนว่า ขณะนี้โรงพยาบาลฯ ได้ให้บุคลากรทางการแพทย์ท่านนี้หยุดปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2568 จนกว่าข้อเท็จจริงจะปรากฏ"

ซึ่งหลังจากที่โพสต์ดังกล่าวถูกแชร์ออกไป ก็มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก