เรื่องเล่ากระดาษโน้ตของพ่อ "เด็กชายแจ๊ะ" ป่วยโรคโรต้าไวรัส เกือบไม่รอด โชคดีได้แพทย์หญิงจากกรุงเทพฯ ชุบชีวิต จนโตขึ้นเป็น "สารวัตรแจ๊ะ" ตามหาผู้มีพระคุณจนเจอ

วันที่ 28 เฟซบุ๊กเพจ "จ๋อแจ๊ะจับโจร" โพสต์เล่าเรื่องราวของเทวดาบนพื้นดิน “กุมารแพทย์หญิงวันดี” ผู้ชุบชีวิตทารกน้อยจากแดนไกล ผ่านเสียงโทรศัพท์ของพ่อ ซึ่งเป็นเรื่องเล่าของเด็กชายแจ๊ะ หรือ สารวัตรแจ๊ะ พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น.

ในปี ค.ศ.1993 เด็กทารกชายคนหนึ่งเกิดมาพร้อมกับร่างกายที่ไม่แข็งแรงนัก ที่พิษณุโลก เมื่อย่างเข้าอายุได้เพียง 4 เดือน ร่างกายเริ่มป่วยออดๆ แอดๆ แม้ว่าจะเข้าโรงพยาบาลมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง ก็ไม่มีท่าทีจะดีขึ้น จนเดือนกันยายน ค.ศ.1993 อาการเด็กน้อยแย่ลงจนเข้าขั้นวิกฤติ เนื้อตัวลีบ ถ่ายไม่หยุด 2 กุมารแพทย์ที่เมืองพิษณุโลกพยายามช่วยชีวิตด้วยการให้น้ำเกลือ ทางขา ทางแขน แต่ก็ไม่สามารถส่งสารอาหารเข้าร่างกายได้ เพราะเส้นเลือดในร่างกายได้ตีบหมดแล้ว จนต้องตัดสินใจเจาะหน้าผาก ให้น้ำเกลือผ่านทางกะโหลก ผ่านไปกว่าเดือนก็ไม่มีท่าทีว่าอาการจะดีขึ้น

กระทั่งคืนวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1993 ซึ่งแพทย์แจ้งกับพ่อว่าเราสุดความสามารถแล้ว ก่อนที่พ่อจะรีบวิ่งกลับไปถามหมออีกครั้งว่า ยังมีทางไหนที่จะช่วยลูกได้บ้าง จนได้คำตอบว่ามีหมอคนหนึ่ง ที่วิจัยเกี่ยวกับทารกอยู่ที่กรุงเทพ ชื่อวันดี กุมารเวช โรงพยาบาลรามามหิดล

...

ด้วยยุค 90’s สมัยที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีโทรศัพท์มือถือ พ่อขี่มอเตอร์ไซค์ตระเวนรอบเมืองพิษณุโลก ตามหาสมุดหน้าเหลือง และเหมารถไปที่ไซต์งานเพื่อโทรศัพท์ จนได้เบอร์ของออฟฟิศแพทย์หญิงวันดี ซึ่งก็ต้องเฝ้าโทรอยู่อย่างนั้นจนกว่าแพทย์หญิงจะเข้ามาทำงานและรับสาย

จนช่วงเช้าวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ.1993 แพทย์หญิงวันดี รับสาย ก่อนที่พ่อจะแนะนำตัวก่อนจะแจ้งอาการของลูกให้ฟังด้วยความร้อนรน แพทย์หญิงวันดี ได้ถามกลับว่า “ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน” พ่อรีบตอบกลับไปว่า “ผมโทรมาจากกำแพงเพชร ตอนนี้อยู่ในป่า ถ้าต้องพาลูกไปกรุงเทพจะต้องรอรถเมล์ 2 ชั่วโมง แล้วนั่งไปอีก 2 ชั่วโมง จากกำแพงเพชรเข้าไปที่ จ.พิษณุโลก เพื่อรับลูกและจะพาขึ้นเครื่องบินที่มีวันละ 1 เที่ยวถึงจะไปถึงกรุงเทพ”

แพทย์หญิงวันดีตอบกลับว่า ไม่ต้องมา เด็กจะเสียระหว่างทาง หมอจะรักษาผ่านทางโทรศัพท์ เราจะกระตุ้นให้ลำไส้เริ่มกลับมาทำงาน ก่อนที่เด็กจะเสียชีวิต รีบกลับไปทำตามที่หมอบอก จากนั้นได้เริ่มบอกสูตรอาหารผสม และวิธีการรักษาเบื้องต้นให้ พ่อจดทุกสิ่งทุกอย่างลงในกระดาษโน้ตแล้วพับเก็บใส่กระเป๋า ก่อนจะรีบกลับไปที่พิษณุโลก

เมื่อพ่อกลับมาถึงพบว่าทารกน้อยยังไม่สิ้นใจ จึงรีบนำอาหารผสมสูตรหมอวันดี แกะออกก่อนนำใส่ปากรักษาทารกน้อยตามโพยหมอ แม้ยังไม่เห็นผลทันตา แต่เหมือนจะได้ผล พ่อจดทุกอากับกริยาของลูก ก่อนจะรีบโบกรถข้ามจังหวัดกลับไปไซต์งานเพื่อโทรศัพท์หาหมอ การเทียวไปเทียวมา 2 จังหวัด เพื่อรักษาผ่านทางโทรศัพท์ได้เริ่มต้นขึ้นทุก 7 โมงเช้า ของทุกวันตลอด 3 เดือน แพทย์หญิงวันดีจะใช้เวลาทุกเช้าก่อนเข้างาน รอรับสายโทรศัพท์จากพ่อ เพื่อตามติดรักษาอาการและปรับเปลี่ยนสูตรผสมอาหารตามอาการ จนเด็กเริ่มฟื้นชีพ ดีวันดีคืน ผิวหนังที่เหี่ยวก็กลับมาเต่งตึง หายเป็นปกติในที่สุด

จนปลายเดือนมกราคม ค.ศ.1994 พ่อรายงานอาการของทารกน้อยให้หมอวันดีฟังอย่างเช่นทุกๆ วัน ก่อนเสียงปลายสายของหมอตอบกลับ "ยินดีด้วยนะลูกคุณหายแล้ว" ภาพมรสุมกว่า 3 เดือนไล่ย้อนไปเป็นฉากๆ จนพูดอะไรไม่ออก ไม่เพียงไม่รู้จัก ไม่เคยแม้แต่เห็นหน้า และหมอท่านนี้ก็ไม่ได้แม้แต่ผลตอบแทนใดๆ แล้วจากไปด้วยคำทิ้งท้ายสั้นๆ "ดูแลลูกให้ดี ขอให้โตมาเป็นเด็กดีนะ ขอให้โชคดี" และสายก็ถูกตัดไป

"กระดาษโน้ตความทรงจำ" รายละเอียดการรักษาพ่อยังคงเก็บไว้ในกล่องเป็นอย่างดีจนเวลาล่วงเลยผ่านไปนานแสนนาน จนเด็กคนนั้นเติบโตขึ้นย่างเข้าวัย 32 ปี ระหว่างกลับไปเยี่ยมพ่อของเขาในช่วงวันหยุด บังเอิญเห็นกล่องในห้องพ่อ เปิดออกมาดูพบกระดาษโน้ตเก่าๆ หลายแผ่นชวนฉงนใจว่าคืออะไร พ่อเห็นกระดาษโน้ต ความทรงจำในอดีตพรั่งพรูก่อนเริ่มเล่าเรื่องราวอันสุดมหัศจรรย์กับการชุบชีวิตทารกน้อย ผ่านสายโทรศัพท์ของหมอเทวดาท่านหนึ่ง "หมอวันดี โรงพยาบาลรามา" พ่อเอ่ยชื่อก่อนทิ้งท้าย "ตอนนี้อยู่ไหนแล้วพ่อไม่รู้นะ น่าจะอายุมากแล้ว"

ก่อนที่สารวัตรแจ๊ะจะเริ่มตามหาผู้มีพระคุณ ที่โรงพยาบาลรามาฯ แต่ทว่าเจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าท่านได้เกษียณ ไม่ได้มาทำงานเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว จนต้องออกตระเวนถามหาบ้าน จนได้มาถึงหน้าบ้านเก่าๆ สุดสมถะ บรรยากาศเงียบสงบ "มีใครอยู่ไหมครับ" หลังสิ้นเสียงเรียก หญิงชราเคลื่อนไหวรางๆ เป็นเงาสะท้อนออกมาจากประตูบ้าน ถามด้วยความสงสัยว่ามาหาใคร

ทารกน้อยวัยหนุ่มเข่าทรุดติดพื้นก้มลงกราบโดยอัตโนมัติก่อนบอกกับหมอที่อยู่ในอาการงุนงงว่า “ไม่รู้หมอจะจำผมได้มั้ย ผมคือเด็กที่หมอช่วยชีวิตผ่านโทรศัพท์เมื่อ 32 ปีก่อน พ่อผมเล่าให้ฟังตอนผมไปเจอกระดาษโน้ตอันนี้ ที่ท่านบอกสูตรผสมกับวิธีการรักษาให้พ่อผม ทำให้ผมรอดตาย

หมอวันดีหยิบกระดาษโน้ตขึ้นมาอ่านอย่างตั้งใจก่อนกล่าวว่า "นี่มันสูตรของชั้นจริงๆ ด้วย....ขอให้มีความสุขความเจริญนะ แล้วตอนนี้หนูเป็นอะไร" ทารกน้อยวัยหนุ่มกล่าวตอบ "ผมเป็นตำรวจอยู่นครบาลครับ" ก่อนจะถอดเสื้อคลุมสืบนครบาลตัวเก่งให้กับหมอวันดีโดยไม่ลังเล "เสื้อนี้มีค่าสำหรับผมมากครับ ผมขอให้หมอไว้นะครับ ถ้าไม่มีหมอผมคงตายไปแล้ว"

หมอวันดีคลี่เสื้อดูก่อนบรรจงอ่านตัวอักษรบนเสื้อก่อนกล่าวว่า "ขอมอบให้ 9 ชีวิตเลยนะ ขอให้ปลอดภัยในการปฏิบัติหน้าที่ เป็นคนดีช่วยเหลือคนอื่นๆ นะลูก ขอบใจนะที่คิดถึงกัน" หมอเทวดาในร่างหญิงชรา ค่อยหันหลัง และเดินกลับเข้าบ้านไป

ซึ่งทารกน้อยคนนั้น ปัจจุบันคือ พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ หรือสารวัตรแจ๊ะ สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น. เกิดมาพร้อมอาการป่วย และแพทย์ในจังหวัดพิษณุโลก วินิจฉัยว่าเป็นโรค “โรต้าไวรัส” แต่การรักษาไม่ดีขึ้นจนสภาพร่างกายลีบแห้งใกล้เสียชีวิต เพราะแท้จริงเป็นโรคอุจจาระร่วงจากสารอาหารที่เข้มข้นในลำไส้ ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักในสมัยนั้น แต่ได้รับการรักษาจาก ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงวันดี วราวิทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคนี้โดยตรง “ผ่านทางโทรศัพท์” ซึ่งได้รักษาด้วยการให้สูตรอาหารผสมที่มีส่วนผสมของเกลือแกงและน้ำตาลทรายทำให้สารวัตรแจ๊ะรอดตายอย่างปาฏิหาริย์เมื่อปี ค.ศ.1993

ที่มาจาก เฟซบุ๊ก "จ๋อแจ๊ะจับโจร"