ผอ.โรงพยาบาลสิรินธร แจงกรณีชาวต่างชาติ หมดสติ ก่อนฟื้นขึ้นมาคลั่งอาละวาดทำร้ายคนภายในห้องฉุกเฉิน โต้ข่าวมีคนเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้

จากกรณีเฟซบุ๊กเพจ "หมอบ่น AggressiveDoctor" เผยแพร่คลิปภาพวงจรปิด ขณะที่มีผู้ป่วยรายหนึ่ง เป็นชายชาวต่างชาติไม่ทราบสัญชาติ นอนหมดสติ ก่อนจะฟื้นขึ้นมาทำร้ายคนในห้องฉุกเฉิน 

ความคืบหน้า วันที่ 23 ม.ค. 2568 นพ.อดิศร วิตตางกูร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสิรินธร เผยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นจะสามารถเปิดเผยเท่าที่พอเปิดเผยได้ เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และเกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเมื่อวานนี้ประมาณช่วงเย็น ทางโรงพยาบาลได้รับการแจ้งประสานงานจากศูนย์เอราวัณว่าพบชายชาวต่างชาติ มีอาการไม่ได้สติ บริเวณช่วงมอเตอร์เวย์ กิโลเมตรที่ 0 จึงได้ประสานรถพยาบาลไปรับตัวมาที่โรงพยาบาล

เมื่อมาถึงพบว่าผู้ก่อเหตุมีอาการสะลึมสะลือ ตรวจพบยังมีชีพจร แต่ยังไม่มีสติเท่าที่ควร จากการประเมินพบว่าอาการยังไม่ถึงขนาดฉุกเฉินมาก จึงให้แพทย์ดำเนินการรักษาและเจาะเลือดตรวจวิเคราะห์อาการตามปกติ โดยพบว่าผลเลือดมีเม็ดเลือดขาวที่สูง เสี่ยงว่าอาจจะติดเชื้อ จึงให้ผู้ป่วยได้นอนพักที่เปลในห้องฉุกเฉินก่อน

ปรากฏว่าเมื่อผู้ก่อเหตุรู้สึกตัว ก็เกิดอาการคลุ้มคลั่ง ไล่ชกต่อยคนในห้องฉุกเฉินตามที่ปรากฏในภาพวงจรปิด โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมีผู้บาดเจ็บ 3 ราย แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล 2 ราย เป็นผู้ช่วยเหลือดูแลคนไข้และพนักงานเวรเปล ส่วนอีกรายเป็นญาติผู้ป่วยที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและถูกลูกหลง เบื้องต้นผู้ป่วยทั้ง 3 รายมีอาการบาดเจ็บเล็กน้อยแค่ฟกช้ำ ซึ่งจากการเอกซเรย์ตรวจภายในแล้ว ไม่พบว่าทั้งสามคนมีอาการบาดเจ็บสาหัส หรือกระทบกระเทือนอวัยวะภายใน โดยทางโรงพยาบาลจะให้การดูแลรักษาผู้บาดเจ็บทั้ง 3 รายอย่างเต็มที่

...

สำหรับผู้ก่อเหตุนั้นยังไม่ทราบว่าเป็นบุคคลสัญชาติใด เนื่องจากไม่มีญาติบุคคลใกล้ชิดมายืนยันตัวบุคคล รวมทั้งยังไม่ได้พูดให้ข้อมูลใด ๆ กับแพทย์ โดยหลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้เข้ามาควบคุมสถานการณ์และล็อกตัวผู้ก่อเหตุเอาไว้ได้ พร้อมกับแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.อุดมสุข มาควบคุมตัว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องฉีดยานอนหลับเพื่อให้ผู้ก่อเหตุมีอาการอ่อนลงถึงสามารถคุมตัวไปสถานีตำรวจได้

ด้านคดีผู้บาดเจ็บทั้ง 3 รายได้แจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุแล้ว ซึ่งทางโรงพยาบาลก็จะให้เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายทั้ง 3 คนดำเนินการทางกฎหมายเอง

ผู้สื่อข่าวสอบถามว่า จากกรณีที่มีข่าวลือว่ามีคุณยายที่นอนพักรักษาอยู่ในห้องฉุกเฉินเกิดอาการช็อกและเสียชีวิตนั้น นพ.อดิศร กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง โดยผู้สูงอายุที่พักรักษาตัวในห้องฉุกเฉินนั้นมีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยและกลับบ้านไปแล้ว ไม่ได้เสียชีวิตตามที่มีกระแสข่าวลือ และไม่ได้ป่วยโคม่าแต่อย่างใด ส่วนเรื่องจะดำเนินการกับบุคคลที่ปล่อยข่าวดังกล่าวนั้น ทางโรงพยาบาลจะขอพิจารณาเอาไว้ก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไร

สำหรับขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลและแพทย์นั้น ยอมรับว่าบุคลากรของโรงพยาบาลเสียขวัญ ซึ่งหลังจากนี้จะต้องมีการฟื้นฟูขวัญกำลังใจให้กับบุคลากรของโรงพยาบาลต่อไป โดยผู้บริหารและผู้ใหญ่ในกรุงเทพมหานครหลายท่านก็แสดงความเป็นห่วงเป็นใยและให้กำลังใจและนอกจากนี้ รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จะเดินทางมาเยี่ยมให้กำลังใจที่โรงพยาบาลด้วย

ส่วนมาตรการการรักษาความปลอดภัยจะมีการหารือกันหลังจากนี้อีกครั้ง เนื่องจากโรงพยาบาลมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดพออยู่แล้ว แต่อาจจะต้องมีการเพิ่มมาตรการในการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย ทว่าจะต้องคำนึงถึงเรื่องสิทธิส่วนบุคคลของผู้ป่วยด้วย

ด้านเจ้าหน้าที่เวรเปล ผู้เสียหาย เผยว่า ช่วงเกิดเหตุ อยู่ดี ๆ ผู้ก่อเหตุก็ลุกลงมาจากเตียง แล้วก็ไล่ต่อยตามที่ปรากฏในภาพวงจรปิด โดยไม่มีการพูดคุยใดๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปช่วยห้าม พยายามเกลี้ยกล่อมบอกให้ใจเย็น ๆ ก่อนที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจะเข้ามาควบคุมอีกที โดยบรรยากาศตอนนั้น ผู้ป่วยในห้องก็แตกตื่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมาก

สำหรับตนเองถูกต่อยบริเวณที่ศีรษะและใบหน้าประมาณ 3-4 ครั้ง ทำให้มีบาดแผลระบมเล็กน้อย โดยยืนยันว่าไม่ได้ทำร้ายร่างกายผู้ก่อเหตุเลย หากเป็นไปได้ก็อยากให้ตัวผู้ก่อเหตุถูกส่งตัวกลับประเทศ เพราะไม่อยากให้ใครต้องมาเจอแบบนี้อีก

ขณะที่ รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมให้กำลังใจบุคลากรที่โรงพยาบาลสิรินธร พร้อมเผยว่า หลังทราบข่าวตั้งแต่เมื่อวานนี้ก็รู้สึกตกใจและก็ได้สอบถามว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น จนทราบว่าเหตุการณ์จบลงด้วยดีและไม่มีใครได้รับอันตราย

หลังจากนี้ทางกรุงเทพมหานคร จะต้องไปทบทวนเรื่องมาตรการการดูแลรักษาความปลอดภัยผู้ป่วยในห้องฉุกเฉินให้เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุ จึงทำให้สามารถระงับเหตุได้ทันท่วงที

อ้างอิง เฟซบุ๊กเพจ หมอบ่น AggressiveDoctor