โซเชียลเสียงแตก ติดแฮชแท็ก #ดิจิทัลวอลเล็ต หลัง "เศรษฐา" หลุดตำแหน่งนายกฯ หลายคนกังวลโครงการเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท สะดุด ขณะที่บางคนยังมีความหวังได้ไปต่อ

วันที่ 15 สิงหาคม 2567 มีรายงานว่า โลกออนไลน์ได้ติดแฮชแท็ก #ดิจิทัลวอลเล็ต พูดถึงโครงการเติมเงินผ่าน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต จนกลายเป็นแฮชเท็กติดเทรนด์ยอดนิยมในประเทศไทย 

สืบเนื่องจากวานนี้ (14 สิงหาคม) ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลง โดย นายเศรษฐา ได้เผยถึง "ดิจิทัลวอลเล็ต" ว่า ตัวเองไม่มีอำนาจแล้ว หลังจากนี้เป็นหน้าที่ของรักษาการ หรือนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ถ้าเกิดเปลี่ยนผู้นำแล้ว เขาก็มีสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงนโยบายได้ตามที่เห็นสมควร ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ทำให้ประชาชนเกิดความกังวล และความคิดเห็นแตกเป็นสองฝ่าย ทั้งฝ่ายที่มองว่าโครงการดิจิวอลเล็ตนี้อาจจะสิ้นสุดลงไปด้วย และฝ่ายที่มองว่าโครงการนี้ยังมีความหวังที่จะได้ไปต่อ

...

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายพิชัย ชุณหวชิร รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงความชัดเจนในนโยบายโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่มีกระแสข่าวว่าอาจจะสะดุด โดยนายพิชัย กล่าวว่า “ไม่ใช่ผม เป็นนโยบายรัฐบาล” 

เมื่อถามย้ำว่า ไทม์ไลน์จะเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายน 2567 เหมือนเดิมหรือไม่ นายพิชัย ปฏิเสธการตอบคำถามดังกล่าว ผู้สื่อข่าวถามต่อ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสามารถให้ความชัดเจนถึงโครงการดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะขณะนี้ประชาชนกำลังสับสน นายพิชัย ทำมือชี้ขึ้นด้านบน พร้อมกล่าวว่า "เป็นเรื่องของรัฐบาล เดี๋ยวรอการประชุม ครม.รักษาการ วันนี้"

ด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รักษาการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการดำเนินนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลหลังจากนี้ว่า ขณะนี้ยังคงเดินหน้าต่อ แต่เมื่อกลไกการเลือกนายกรัฐมนตรี การตั้งรัฐบาล และการแถลงนโยบายของรัฐบาลใหม่ ก็จะต้องหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลใหม่ ซึ่งจะต้องให้เกียรตินายกรัฐมนตรีคนใหม่ว่าสุดท้ายแล้วจะร่างนโยบายอย่างไร

แต่ยืนยันว่า พรรคเพื่อไทย ในฐานะที่มี สส. 141 คน หากจะมีการจัดตั้งรัฐบาล และพรรคเพื่อไทยร่วมด้วย ก็จะเสนอนโยบายเติมเงิน 10,000 บาท เป็นหนึ่งในนโยบายที่ควรขับเคลื่อน ซึ่งจะต้องขึ้นอยู่กับการเจรจา และแต่ละฝ่ายจะมีความเห็นอย่างไร

พร้อมย้ำว่าในฐานะรัฐบาลรักษาการ และมติคณะรัฐมนตรีที่เคยให้เดินหน้าโครงการ ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ และดำเนินการตามกรอบที่กฎหมายให้สามารถทำได้ ทั้งการเตรียมความพร้อม การลงทะเบียน และการพัฒนาแอปพลิเคชัน แต่ความชัดเจนทั้งหมดจะต้องรอหลังรัฐบาลชุดใหม่ และพรรคเพื่อไทยจะนำโครงการนี้ไปหารือกับรัฐบาลชุดใหม่ด้วย.