แฮชแท็ก #ไฟดูด ติดเทรนด์โซเชียล อ.เจษฎ์ อธิบายการช่วยที่ถูกต้อง กระโดดถีบควรทำไหม? ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมไฟฟ้า เตือนภัยตู้กดน้ำดื่มไฟดูด แนะควรมีเครื่องตัดไฟรั่ว มีแท่นไม้ให้ยืนกดน้ำ พร้อมเสนอแก้กฎหมาย
จากกรณีโลกโซเชียลวิพากษ์วิจารณ์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.กันตัง จ.ตรัง ซึ่งมีเด็กนักเรียนชายคนหนึ่ง ถูกไฟดูดตรงตู้น้ำดื่ม ต่อหน้ากลุ่มคนทั้งครูอาจารย์ และผู้ใหญ่หลายๆ คนที่อยู่ในบริเวณนั้น เป็นเวลาประมาณ 2 นาที และมีฝนตกลงมาเล็กน้อย สุดท้ายเสียชีวิต ทั้งนี้ หลายคนตำหนิถึงการช่วยเหลือปฐมพยาบาลของผู้ใหญ่ และครูอาจารย์ที่อยู่ในเหตุการณ์เป็นจำนวนมากว่า หากรีบเข้าไปช่วยเหลือให้รวดเร็ว ปลอดภัย และทันท่วงที เด็กชายคนดังกล่าวอาจจะไม่เสียชีวิตก็ได้ จนเกิดเป็น #ไฟดูด ติดเทรนด์บนเอ็กซ์ (x)
เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "Jessada Denduangboripant" เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ไม่จำเป็น ไม่ควรใช้วิธี "ถีบ" ช่วยคนถูกไฟฟ้าดูด
จากที่โพสต์แนะนำไป เกี่ยวกับกรณีที่มีเด็กนักเรียนเสียชีวิต เนื่องจากถูกไฟฟ้าจากตู้กดน้ำดื่มดูดเอาและได้รับการช่วยเหลือไม่ทัน มีคำถามในคอมเมนต์ว่า แล้วที่เคยสอนกัน "ให้กระโดดถีบ ช่วยคนที่ถูกไฟฟ้าดูด ให้หลุดออกไปนั้น" ยังเป็นวิธีที่ควรทำอยู่หรือไม่?
คำตอบสำหรับผม คือ ไม่แนะนำให้ทำครับ เพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอันตรายตามมา ทั้งกับคนที่เข้าไปช่วยถีบ และคนที่ถูกถีบ
...
เรื่องนี้ สถานีโทรทัศน์ Thai PBS เคยทำเป็นคำถามในรายการ "คิดสิต้องรอด" โดยถามว่า ถ้าเห็นคนโดนไฟดูด จะทำอย่างไร? ระหว่าง 1. วิ่งเข้าไปกระโดดถีบ 2. ใช้ไม้เขี่ยสายไฟ และ 3. ใช้ผ้าคล้องไปที่ตัว แล้วดึงเพื่อนออกมา ... วิธีไหนที่ช่วยคนถูกไฟดูดให้ปลอดภัย และเราเองก็ปลอดภัยด้วย
โดยทางรายการได้อธิบายว่า "การกระโดดถีบ" จะช่วยทำให้คนที่ถูกไฟดูดอยู่ สามารถหลุดออกจากสายไฟได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็เป็นการช่วยที่เสี่ยงมากเช่นกัน เพราะอาจจะทำให้คนที่หลุดออกไปจากไฟดูด ไปกระแทกของที่อยู่ด้านหลัง จนได้รับบาดเจ็บ! (อันนี้ เคยมีข่าวมาแล้ว คือ ไปถีบคนที่ถูกไฟดูดขณะยืนบนบันได แล้วถีบจนตกบันได ลงมากระแทกพื้นเสียชีวิตแทน)
หรือดีไม่ดี เรากระโดดถีบเค้าออกไป แล้วเราก็ตกลงทับสายไฟที่รั่วอยู่ กลายเป็นเราถูกไฟดูดตายไปเอง
ทางรายการแนะนำวิธีการ "ใช้ไม้เขี่ยสายไฟ" โดยเมื่อพบคนถูกไฟฟ้าดูด ให้หาไม้ หรือพลาสติก หรืออุปกรณ์ที่เป็นฉนวนไฟฟ้า และต้องแห้งเท่านั้น นำมาเขี่ยสายไฟหรืออุปกรณ์ที่ปล่อยกระแสไฟฟ้า เขี่ยให้หลุดออกจากตัวผู้ถูกไฟฟ้าดูด (ซึ่งเด็กๆ ที่มาร่วมรายการ สามารถใช้วิธีนี้ช่วย "หุ่นที่ถูกไฟดูด" ได้สำเร็จใน 5 วินาที)
ส่วนวิธี "ใช้ผ้าที่คล้องที่ตัว และดึงเพื่อนออกมา" นั้น ผ้าเป็นฉนวนที่ไฟฟ้าไหลผ่านไม่ได้ก็จริง แต่ต้องใช้ผ้าที่แห้ง และยาวพอที่จะโยนให้คล้องเข้ากับเป้าหมาย และดึงกระชากออกมา ซึ่งถ้าฝีมือไม่ถึง หรือพลาดไปสัมผัสโดนคนที่ถูกไฟดูดเข้า วิธีนี้ก็เสี่ยงทำให้เราถูกไฟฟ้าดูดไปด้วย เรากับเพื่อนก็จะไม่รอดทั้งคู่
ดังนั้น "ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ " ก็ไม่ควรใช้วิธีกระโดดถีบช่วยผู้ถูกไฟดูด หรือถ้าต้องทำ ต้องดูว่าบริเวณข้างๆ ผู้ที่ถูกไฟดูดนั้น มีพื้นที่โล่งพอให้ผู้ป่วยล้มลงไปโดยไม่เจ็บตัวมากนัก ให้เลือกค่อยถีบช่วงก้น หรือสะโพก ให้เร็วแรงพอที่จะให้หลุดออกได้ในครั้งเดียว
แต่ถ้าเป็นไปได้ ก็ควรเลี่ยง "การกระโดดถีบ" แล้วมองหาสิ่งของที่เป็นฉนวน ไม่นำไฟฟ้า และแห้งไม่เปียกน้ำ ไปเขี่ยสายไฟหรือสิ่งที่ทำให้ผู้ป่วยโดนไฟดูด ออกไปจากร่าง หรือเขี่ยมือ แขน หรือเท้าของผู้ป่วยออกจากบริเวณที่มีไฟดูด
ที่สำคัญคือ ต้องรักษาระยะห่างจากผู้ถูกไฟดูด อย่าเพิ่งรีบร้อนเข้าไปช่วย เพราะอาจจะสัมผัสโดนร่างกายของผู้ที่ถูกไฟดูดไปด้วย ควรตั้งสติ สังเกตก่อนว่าไฟฟ้าที่รั่วออกมาดูดนั้น มาจากที่ใด จะได้ไม่เข้าใกล้จุดนั้น และหาทางตัดไฟฟ้าให้ได้ (เช่น ปิดสวิตช์ หรือสับคัตเอาต์) ตลอดจนควรที่จะต้องใส่รองเท้าด้วยก่อนเข้าไปช่วย
ส่วนวิธีการปฐมพยาบาลนั้น เริ่มจากตรวจดูว่าผู้ป่วยยังมีสติแค่ไหน ถ้า "ยังมีสติ" ครบถ้วน ให้นอนพัก ตรวจร่างกายคร่าวๆ ว่ามีบาดแผลร้ายแรงหรือไม่ มีรอยไฟไหม้ที่บริเวณใดหรือเปล่า แต่ถ้า "หมดสติ" และ "ไม่หายใจ หรือหัวใจหยุดเต้น" ให้รีบทำการปั๊มหัวใจผายปอด CPR โดยด่วน จากนั้น ให้รีบนำส่งแพทย์ หรือโทรแจ้ง สายด่วนกู้ชีพ 1669
นอกจากนี้ อ.เจษฎ์ ยังบอกด้วยว่า จากการฟัง ผศ. ดุสิต สุขสวัสดิ์ ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง อธิบายในรายงานข่าว เรื่องที่เด็กนักเรียนถูกไฟฟ้าช็อต บริเวณตู้น้ำดื่มในโรงเรียนจนเสียชีวิต เห็นว่ามีประโยชน์ จึงอยากนำมาสรุปให้ฟัง
1. ถึงตู้กดน้ำเย็นจะเสียแล้ว คอมเพรสเซอร์ไม่ทำงาน แต่ถ้าเสียบปลั๊กไฟ กระแสไฟก็สามารถรั่วออกมา ไปตามโครงตู้เหล็ก เป็นอันตรายได้
2. ปัญหานี้มักเกิดกับตู้ที่เก่าใช้มาหลายปีแล้ว เพราะฉนวนของอุปกรณ์ที่ทำความเย็น จะเริ่มเสื่อม ทำให้มีแรงดันไฟฟ้าให้ไหลไปที่ตู้เหล็กได้
3. แม้แต่ปลั๊กไฟ (หรือเบรกเกอร์) ที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งปลอดภัย แต่ถ้าไม่ค่อยตรวจสอบการใช้งาน ก็อันตรายได้
4. ถ้าไปจับตู้ที่มีไฟฟ้ารั่ว กระแสไฟก็ไหลจะเข้าสู่ร่างกายได้ แต่ยังไม่ดูด-ถ้าใส่รองเท้าเอาไว้ เพราะจะทำให้กระแสไฟลงดินไม่ได้
5. แต่ถ้าตัวเปียก แล้วไปแตะตู้ที่ไฟรั่ว ไฟฟ้าอาจไหลลงดินได้ง่ายขึ้น และอาจจะถูกไฟดูด จนเสียชีวิตได้
6. ไฟรั่ว ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จึงต้องติดตั้ง "เครื่องตัดไฟรั่ว" (แต่ยังไม่มีการกำหนดมาตรฐาน ว่าต้องติดตั้งมากับตู้น้ำเย็น .. ไม่เหมือนพวกเครื่องทำน้ำอุ่น ที่ต้องมีเครื่องตัดไฟรั่วด้วย)
7. แถมไม่มีกฎหมายบังคับ ให้ต้องตรวจสอบความปลอดภัยของระบบไฟฟ้าของโรงเรียน ไม่ได้อยู่ใน พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ทำให้โรงเรียนไม่มีการตรวจสอบโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ
8. อาจารย์ดุสิต เสนอให้ออกกฎหมายควบคุมอาคารไปถึงโรงเรียนด้วย เริ่มจากภาคสมัครใจก่อนก็ได้ จะได้มีการติดตั้งอุปกรณ์ตัดไฟรั่ว
9. ส่วนตู้กดน้ำที่มีใช้กันตอนนี้ ให้ลดความเสี่ยงไฟรั่วไฟดูด ด้วยการใช้ "พาเลตไม้" (แผ่นลังไม้หนาๆ) หรือ "แท่นพลาสติก" มาวางที่หน้าตู้ เพื่อให้เด็กไม่สัมผัสกับพื้นดินโดยตรงเวลาที่กดน้ำ / ต่อให้ฝนตก ให้เปียกทั้งตัว ไม้ (และพลาสติก) ก็ยังต้านทานไฟฟ้า ไม่ให้ไหลลงดินได้
10. อาจารย์เสนอด้วยว่า ต้องส่งเสริมให้มีความรู้เรื่องระบบไฟฟ้าใกล้ตัว ไฟรั่วไฟดูด การใช้งานอุปกรณ์อย่างปลอดภัย ไปจนถึงการเข้าช่วยเหลือผู้ถูกไฟดูดอย่างไร
ที่มาจาก เฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant