โรงพยาบาลขอนแก่น ชี้แจงกรณี ญาติร้องสื่อ ติดใจสาเหตุการเสียชีวิตของหญิงวัย 28 ปี หลังคลอดลูก ยันไม่มีการเก็บค่ารักษาเพิ่มเติมจากญาติ
วันที่ 11 เมษายน 2567 ผู้สื่อข่าวได้ติดตามความคืบหน้า กรณีญาติของ น.ส.สุมินตรา ศรีลาโพธิ์ อายุ 28 ปี ต.กุดน้ำใส อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ร้องเรียนผ่านสื่อมวลชน ขอความเป็นธรรมหลังไปคลอดลูกที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่นแล้วเสียชีวิต ส่วนเด็กในท้องเป็นลูกสาว น้ำหนัก 3.4 กก. หยุดหายใจช่วงที่ทำคลอด
โดยหมอแจ้งว่าหยุดหายใจไปประมาณ 5 นาที ก่อนจะพาเข้าห้องไอซียูทำการช่วยเหลือเป็นการด่วน ซึ่งทางญาติติดใจสาเหตุการเสียชีวิต เพราะผู้ตายเป็นคนแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ หมอบอกว่าเกิดภาวะแทรกซ้อนทั้งหัวใจ ทั้งปอดขณะทำการคลอด และลงในใบมรณบัตรสรุปสาเหตุการเสียชีวิตว่า ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจบกพร่องในช่วงการตั้งครรภ์
และในส่วนการรับผิดชอบเยียวยาช่วยเหลือ ทางโรงพยาบาลพูดกลับคำ จากบอกว่าเป็นความผิดพลาดของหมอ ช่วยทำศพ 5,000 บาท แต่เรียกเก็บเงินส่วนต่างเหลืออีก 50,000 บาท และให้เขียนใบคำร้องไปยื่นกับทางสำนักงานประกันสังคม จึงมองว่าอะไรคือความรับผิดชอบเยียวยาจากทางโรงพยาบาลเจ้าของไข้ พร้อมทั้งในวันนี้ได้ติดต่อทำเรื่องส่งศพผ่าชันสูตรพลิกศพที่โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อหาสาเหตุแห่งการตายที่แท้จริง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม
ความคืบหน้ากรณีดังกล่าว ล่าสุดวันนี้เมื่อเวลา 13.00 น. ที่ห้องประชุมแก่นเมือง ชั้น 4 อาคารสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โรงพยาบาลขอนแก่น นายแพทย์ธนนิตย์ สังคมกำแหง รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ และนายแพทย์เสกสรร สุวรรณแพง รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ พร้อมด้วยทีมแพทย์ที่ทำคลอด น.ส.สุมินตรา ศรีลาโพธิ์ เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 67 ประกอบด้วย นายแพทย์วีระพล ศรีนิล หัวหน้ากลุ่มงานสูตินรีเวชกรรม แพทย์หญิงอุษณีย์ สังคมกำแหง แพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านสูตินรีเวชกรรม แพทย์หญิงฤทัยรัตน์ ตั้งมั่นสกุลชัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวชกรรม ร่วมกันแถลงข้อเท็จจริงต่อสื่อมวลชน ถึงกรณีที่ญาติของผู้เสียชีวิตติดใจถึงสาเหตุการเสียชีวิต
...
นายแพทย์ธนนิตย์ สังคมกำแหง รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ กล่าวว่า ทางโรงพยาบาลขอนแก่นเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และได้มีการทบทวนระบบการให้บริการ เพื่อป้องกันการเกิดเหตุซ้ำอีก โดยจากกรณีดังกล่าวนั้น ทางโรงพยาบาลขอนแก่นได้รับผู้ป่วยหญิงอายุ 28 ปีดังกล่าว อายุครรภ์ 39 สัปดาห์ 6 วัน และประวัติมีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ รักษาด้วยการควบคุมอาหารขณะตั้งครรภ์ และฝากครรภ์ที่คลินิก
เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2567 เวลา 06.30 น. ผู้ป่วยได้มาตามหมอนัด โดยแพทย์เจ้าของไข้นัดมา เพื่อประเมินให้คลอด หลังจากอายุครรภ์ครบกำหนด และมีภาวะเบาหวานในระหว่างตั้งครรภ์ และพิจารณาให้ยาชักนำการคลอดเพื่อคลอดทางช่องคลอด เนื่องจากยังไม่มีข้อบ่งชี้ว่าต้องทำการผ่าคลอด
โดยแรกรับสัญญาณชีพปกติ ตรวจพบมดลูกหดรัดตัวไม่สม่ำเสมอ ทุกปากมดลูกเปิด 1 ซม. และตรวจสุขภาพทารกในครรภ์ปกติ จึงกระตุ้นคลอดด้วยวิธีมาตรฐาน โดยยาเหน็บทางช่องคลอดทุก 4 ชม. รวมทั้งหมด 2 ครั้ง (ยาเร่งคลอด)
ระหว่างกระตุ้นคลอด ได้ติดตามการหดรัดตัวของมดลูก เสียงหัวใจทารก และการเปิดของปากมดลูกเป็นระยะ จนเริ่มมีเจ็บครรภ์ และมีน้ำเดินเวลา 16.50 น. ต่อมาเวลา 19.00 น. ผู้ป่วยเจ็บครรภ์ถี่ ตรวจปากมดลูกเปิด 3 ซม. ตรวจอัลตราซาวนด์ไม่มีภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด เสียงหัวใจทารกในครรภ์ปกติ
แพทย์เจ้าของไข้มาตรวจดูอาการ จึงวางแผนที่จะผ่าตัดคลอด เนื่องจากผู้ป่วยมีข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดคลอด คือปากมดลูกมีการเปิดช้ากว่าปกติ หลังการชักนำการคลอด แต่ต่อมาปากมดลูกมีความก้าวหน้า จนเปิดหมด และทีมแพทย์พิจารณาว่าสามารถทำคลอดทางช่องคลอดได้ จึงย้ายผู้ป่วยเข้าห้องทำคลอด
หลังคลอดมีภาวะมดลูกไม่รัดตัว จึงได้ให้ยากระตุ้นการหดรัดมดลูก และยารักษาภาวะตกเลือดหลังคลอด ตามมาตรฐานของโรงพยาบาล แต่ยังมีเลือดออกเป็นระยะ จึงได้ให้สารน้ำ และเลือดทดแทน ใส่บอลลูนในมดลูกเพื่อหยุดเลือด แต่ยังมีเลือดซึมตลอด และมดลูกไม่หดรัดตัว
ทีมแพทย์ประเมินแล้วต้องรักษาด้วยการผ่าตัดมดลูก เนื่องจากเกิดภาวะตกเลือดหลังคลอดรุนแรง ภายหลังการผ่าตัดได้ย้ายผู้ป่วยไปรับการรักษาที่ ICU พบว่ามีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจลดลง และเต้นเร็วผิดปกติ หัวใจมีความสามารถในการสูบฉีดเลือดจากหัวใจได้ลดลง จึงพิจารณาใส่เครื่องช่วยการทำงานของหัวใจ (Intraaortic Balloon Pump) และฟอกไตแบบต่อเนื่อง
ต่อมาวันที่ 5 เม.ย. 2567 พบมีปัญหาหัวใจเต้นผิดจังหวะ ทีมสหสาขาแพทย์ร่วมรักษาโดยให้ยาและใช้เครื่องกระตุกหัวใจ วันที่ 6 เม.ย. 2567 ยังมีหัวใจเต้นผิดจังหวะ และความดันโลหิตต่ำลงในเวลา 10.25 น. และมีภาวะหัวใจล้มเหลว แพทย์ได้ให้การกู้ชีพนาน 45 นาที และผู้ป่วยเสียชีวิตในเวลา 11.08 น.
ต่อมาวันที่ 7 เม.ย. 2567 ตัวแทนโรงพยาบาลขอนแก่น ได้ไปร่วมงานสวดพระอภิธรรม โดยได้แจ้งให้ญาติได้ทราบเกี่ยวกับสิทธิ ที่จะได้รับการช่วยเหลือจากสำนักงานประกันสังคม ที่ญาติของผู้คลอดจะได้รับตามสิทธิ์ ม.63 และการช่วยเหลือตามสิทธิของบุตร จากสิทธิบัตรประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง ซึ่งทางโรงพยาบาลขอนแก่นจะช่วยเหลือเยียวยาทั้ง 2 สิทธิ์ โดยญาติไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเข้ารับการดูแลรักษาในครั้งนี้
นายแพทย์ธนนิตย์ กล่าวอีกว่า ในกรณีที่สามี และญาติๆ ติดใจสาเหตุการเสียชีวิต ต้องการให้ผ่าคลอดนั้น ทางโรงพยาบาลขอนแก่นขอชี้แจงกรณีนี้ว่า การทำคลอด แพทย์จะมีกระบวนการรักษาตามมาตรฐานวิชาชีพ นโยบาย คือการคลอดธรรมชาติปลอดภัยต่อตัวแม่และทารกมากที่สุด
และ น.ส.สุมินตรา มีภาวะของเรื่องเบาหวาน และมีอายุครรภ์ครบพร้อมคลอดลูก ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ตามมาตรฐานการรักษาตามวิชาชีพ ซึ่งจะต้องรีบคลอด จึงได้เข้าสู่กระบวนการคลอดตามธรรมชาติ แต่เนื่องจากหลังคลอดนั้น เกิดภาวะตกเลือดขั้นรุนแรง และรุนแรงที่สุดเท่าที่ทางโรงพยาบาลเคยทำคลอดมา
ซึ่งโอกาสในการตกเลือดหลังคลอดนั้นมี 5-10 เปอร์เซ็นต์ แต่ในรายนี้เป็นภาวะตกเลือดรุนแรง ไม่สามารถควบคุมเลือดได้ จึงผ่าตัดมดลูกออกเพื่อช่วยชีวิต และหากทำการผ่าคลอดโดยไม่มีข้อบ่งชี้ ก็จะเกิดภาวะแทรกซ้อนหลายด้าน เช่นรกเสื่อม อาจทำให้ทารกเสียชีวิตในครรภ์ได้ และอาจจะเกิดภาวะปอดแฟบได้
ส่วนอาการของหนูน้อยแรกเกิดนั้น หลังจากคลอดได้เข้ารักษาต่อที่ห้องไอซียู ล่าสุดสามารถถอดเครื่องช่วยหายใจได้แล้ว โดยแพทย์จะมีการเฝ้าติดตาม และประเมินอาการอย่างต่อเนื่อง ในกรณีที่ญาติรับข้อมูลมาว่ามี 3 ทางที่จะเกิดขึ้นคือ หูหนวก-ตาบอด เป็นผู้ป่วยติดเตียง หรือเสียชีวิตนั้น อาจจะเกิดการสื่อสารที่ทำให้เข้าใจกันคลาดเคลื่อน ซึ่งแนวทางทั้ง 3 เป็นขั้นตอนที่แพทย์ที่ให้การรักษาจะต้องแจ้งญาติให้ทราบข้อมูลทั้งหมด ตามมาตรฐานวิชาชีพ แต่ล่าสุดนั้นอาการดีขึ้น ซึ่งทางแพทย์ได้เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด
และในกรณีการเยียวยา น.ส.สุมินตรา จะได้รับสิทธิ์การเยียวยาตามมาตรา 63 ตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม และสิทธิบัตรทอง โดยในส่วนของมาตรา 63 พ.ร.บ.ประกันสังคม จะมีหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นให้แก่ผู้ประกันตน ที่ได้รับความเสียหายจากการรับบริการทางการแพทย์ เป็นประเภทที่ 1 เป็นเงินช่วยเหลือเบื้องต้นหากผู้ประกันตนเสียชีวิต จ่ายเงินตั้งแต่ 320,000 บาท- 400,000 บาท โดยจะมีคณะกรรมการการแพทย์ตาม พ.ร.บ.ประกันสังคมพิจารณาจ่ายเงิน
และในส่วนเป็นสิทธิบัตรทองซึ่งได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยาอัตโนมัติทันที คือ ค่าปลงศพ 50,000 บาท ค่าคลอด 15,000 บาท ค่าสงเคราะห์บุตร 800 บาท ต่อคนต่อเดือน ซึ่ง 3 ส่วนนี้จะได้รับทันที และอีกส่วนจะเป็นเงินสงเคราะห์การตาย กับเงินชราภาพ จะเป็นการพิจารณาขึ้นอยู่กับระเบียบหลักเกณฑ์ที่กำหนด
กรณีเรื่องค่ารักษาที่ญาติๆ ติดใจนั้น ยืนยันว่าทางโรงพยาบาลจะไม่มีการเรียกเก็บแต่อย่างใด แต่เนื่องจากเกิดการสื่อสารที่เข้าใจผิด เพราะทางโรงพยาบาลเอง จะต้องแจ้งสิทธิให้กับญาติผู้ที่มาใช้บริการทราบทั้งหมด อาจจะเกิดการเข้าใจผิดว่าจะต้องจ่ายเองในส่วนนี้ ซึ่งทางโรงพยาบาลเอง ได้พูดคุยทำความเข้าใจกับทางสามีผู้เสียชีวิตแล้ว โดยทางสำนักงานประกันสังคม และทางโรงพยาบาลขอนแก่น จะเป็นผู้รับผิดชอบในเงินส่วนนี้.