นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย วิเคราะห์สาเหตุอาคารหลายหลังถล่ม จากเหตุแผ่นดินไหวในไต้หวัน แนะไทยควรเตรียมมาตรการเสริมความแข็งแรงให้อาคารเก่า
จากกรณีสำนักข่าวต่างประเทศ รายงานข่าวด่วน เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรง ขนาด 7.3 บริเวณชายฝั่งทางตะวันออกของไต้หวัน มีรายงานว่าอาคารทรุดเอียงหลายหลังเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2567 ที่ผ่านมานั้น
ศ.ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย อธิบายว่า ตามข้อมูลจากหน่วยงานสำรวจธรณีวิทยาของสหรัฐอเมริกา (USGS) สาเหตุของแผ่นดินไหวเกิดจากรอยเลื่อนย้อน (Reverse faulting) เกิดขึ้นที่บริเวณรอยต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลกยูเรเซีย และแผ่นทะเลฟิลิปปินส์ ที่ระดับความลึก 34.8 กม. อยู่ในบริเวณวงแหวนไฟ ซึ่งเป็นพื้นที่มีการเกิดแผ่นดินไหวชุกชุมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
การเกิดรอยเลื่อนย้อนดังกล่าว ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ในแนวดิ่งของแผ่นเปลือกโลก จึงทำให้เกิดสึนามิซัดเข้าหาชายฝั่งตามมา ขณะนี้ตรวจพบคลื่นสึนามิ สูงประมาณ 30 ซม. ซึ่งยังไม่เป็นอันตรายมาก
อย่างไรก็ตามแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น จัดเป็นแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ และมีความรุนแรงมากที่สุดในรอบ 25 ปี แรงสั่นสะเทือนรับรู้ได้ไกลถึงกรุงไทเป และในประเทศจีนด้วย และยังมีอาฟเตอร์ช็อก ที่มีขนาดมากกว่า 5 แมกนิจูดเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ยังทำให้เกิดดินถล่มในบางพื้นที่อีกด้วย
สำหรับข้อสังเกตการถล่มของอาคารหลายหลัง ในเมืองฮัวเหลียน ศ.ดร.อมร พิมานมาศ อธิบายว่ามีโครงสร้างอาคารพังถล่มหลายหลัง โดยพบรูปแบบการพังถล่ม ที่เกิดขึ้นในชั้นล่างของอาคาร ซึ่งทางวิศวกรรมเรียกว่า การวิบัติแบบชั้นอ่อน (Soft storey) โดยเสาชั้นล่างของอาคาร จะถูกทำลาย ทำให้อาคารส่วนที่เหลือ ล้มเอียงทำมุม 45 องศากับพื้นดิน และอาคารที่พังทลายลักษณะนี้ น่าจะเป็นอาคารเก่า ที่ยังไม่ได้รับการเสริมกำลัง
...
อาคารที่มีความเสี่ยง "ชั้นอ่อน" จะมีลักษณะที่ชั้นล่างเปิดโล่ง มักเป็นอาคารพาณิชย์ ที่เปิดโล่งชั้นล่างทางด้านหน้า 1 ด้านเพื่อใช้ทำการค้า ส่วนด้านที่เหลือมีการก่อผนัง จึงทำให้เสาชั้นล่างด้าน ที่เปิดโล่งเป็นเสาอ่อนแอ จึงพังทลาย และทำให้อาคารล้มเอียงลงมา ดังที่เกิดขึ้น
แผ่นดินไหวและสึนามิที่เกิดขึ้นที่ไต้หวัน ไม่ได้ส่งผลกระทบมาที่ประเทศไทย แต่ประเทศไทยก็ยังมีความเสี่ยงแผ่นดินไหวระดับปานกลาง ในหลายพื้นที่ เช่น ภาคเหนือ ภาคตะวันตก ตลอดจนถึงกรุงเทพมหานคร
ดังนั้น ประเทศไทยจึงควรเตรียมพร้อมรับมือแผ่นดินไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการเสริมความแข็งแรงให้แก่อาคารเก่า ซึ่งทำได้หลายวิธี เช่น การพอกขยายเสาให้ใหญ่ขึ้น หรือการติดตั้งค้ำยันทแยง (Bracing) ซึ่งเป็นวิธีการที่ลดความเสี่ยงการวิบัติจากชั้นอ่อนได้.