สถาบันโรคผิวหนัง อธิบาย "โรคน้ำเหลืองเสีย" ไม่มีอยู่จริงในทางการแพทย์ แท้จริงเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง "Impetigo" พร้อมแนะขั้นตอน และวิธีทำความสะอาด
วันที่ 24 มกราคม 2567 มีรายงานว่า สถาบันโรคผิวหนัง ได้เผยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ "โรคน้ำเหลืองเสีย" พร้อมให้คำแนะนำวิธีดูแลรักษาที่ถูกต้องเพื่อไม่ให้ลุกลาม หรือเป็นรุนแรงมากขึ้น โดยระบุว่า โรคน้ำเหลืองเสีย ไม่มีอยู่จริงในทางการแพทย์ เป็นเพียงภาษาชาวบ้าน ที่ใช้เรียกลักษณะของการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง หรือเรียกอีกชื่อว่า Impetigo (โรคพุพอง) บริเวณที่เป็นจะมีลักษณะเป็นผื่นแดง คัน ผื่นแฉะ อาจบวมแดง และมีน้ำเหลืองไหล ร่วมกับสะเก็ดสีเหลืองปนน้ำตาลได้
การรักษา
- ขึ้นกับลักษณะอาการและความรุนแรง โดยมีทั้งสบู่ฟอก เพื่อฆ่าเชื้อ การให้ยาทา รวมถึงใช้ยากินหรือยาฉีด ในกรณีที่มีอาการรุนแรง
- ควรดูแลเรื่องความสะอาด ตัดเล็บสั้น
- หากผิวหนังสัมผัสสิ่งสกปรก ควรรีบล้างทำความสะอาดผิวบริเวณนั้น และไม่แกะเกาบริเวณรอยโรค หรือตำแหน่งที่เป็นผื่น เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อที่ผิวหนัง
ในส่วนของอาหารการกินต่างๆ ไม่ได้มีผลต่อตัวโรคผิวหนังชนิดนี้แต่อย่างใด ผู้ที่มีอาการควรพบแพทย์เพื่อให้ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสม
อย่างไรก็ตาม นายแพทย์ไพโรจน์ สุรัตนวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า "โรคน้ำเหลืองเสีย" หรือในทางการแพทย์เรียกว่า Impetigo โรคน้ำเหลืองเสีย เป็นเพียงภาษาชาวบ้านที่ใช้เรียก โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง โดยเชื้อแบคทีเรียจะเข้าสู่ผิวหนังผ่านทางบาดแผล ที่เกิดจากรอยถลอกหรือการแกะเกา บริเวณที่เป็นจะมีลักษณะเป็นผื่นแดง คัน ผื่นแฉะ อาจบวมแดงและมีน้ำเหลืองไหล ร่วมกับมีสะเก็ดสีเหลืองปนน้ำตาลได้ หากได้รับการดูแลรักษาที่ไม่ดี อาจทำให้เกิดการลุกลาม และทำให้หายช้าได้
...
แพทย์หญิงคล้ายจันทร์ อินทรใจเอื้อ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง สถาบันโรคผิวหนังกล่าวเพิ่มเติมว่าในการรักษาโรคขึ้นอยู่กับลักษณะอาการและความรุนแรง โดยมีทั้งการใช้สบู่ฟอกเพื่อฆ่าเชื้อ การให้ยาทา รวมถึงการใช้ยากินหรือยาฉีด ในกรณีที่มีอาการรุนแรง ฉะนั้นผู้ที่มีอาการของโรค ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสม
นอกจากนี้ ยังควรดูแลเรื่องความสะอาดของร่างกาย และข้าวของเครื่องใช้ เช่น การตัดเล็บให้สั้น หากผิวหนังสัมผัสสิ่งสกปรกควรรีบล้างทำความสะอาดผิวหนังบริเวณนั้น และไม่แกะเกาบริเวณรอยโรค หรือตำแหน่งที่เป็นผื่น เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อที่ผิวหนังและการลุกลามของรอยโรคด้วย ในส่วนของอาหารการกินต่างๆ ไม่ได้มีผลต่อตัวโรคผิวหนังชนิดนี้แต่อย่างใด.
ขอบคุณข้อมูลจาก สถาบันโรคผิวหนัง