พ่อแม่อย่าละเลย สังเกตอาการ "โรคตาขี้เกียจในเด็ก" พร้อมแนวทางการรักษา ย้ำ รู้เร็ว รักษาไว โอกาสหายมีสูง
ปัจจุบันเราจะเริ่มเห็นเด็กๆ มีอาการสายตาสั้นกันมากขึ้น แต่รู้หรือไม่ว่ายังมีเด็กอีกเป็นจำนวนมาก ที่ผู้ปกครองยังไม่รู้ว่าลูกของตัวเองอาจจะมีปัญหาด้านสายตาและการมองเห็น เพราะไม่เคยตรวจคัดกรองการมองเห็นที่ดีและได้มาตรฐาน ที่สำคัญอาการสายตาผิดปกติอาจจะส่งผลต่อสมองได้ และนำมาสู่ "โรคสายตาขี้เกียจ" ในเด็กได้
โดย พญ.ณัฐฐิญา ลายลักษณ์ศิริ หรือ หมอเจี๊ยบ จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุวิทยาเด็กและตาเข ศูนย์จักษุ โรงพยาบาลพระรามเก้า อธิบายว่า โรคสายตาขี้เกียจ หรือตาขี้เกียจ (Amblyopia) คือ การที่ตามองเห็นไม่ชัด แม้จะทำการแก้ไขค่าสายตา หรือใส่แว่นที่ดีที่สุดแล้วก็ตาม ซึ่งสาเหตุเกิดจากสมองด้านการมองเห็นพัฒนาได้ไม่ดี
ตามปกติแล้วในช่วงแรกเกิดถึง 10 ปีแรก สมองของเด็กจะเติบโตในทุกๆ ด้าน รวมถึงด้านการมองเห็น การที่เด็กคนหนึ่งจะมองเห็นได้ปกติดีในช่วงอายุนี้ คือเด็กต้องมองเห็นชัดเพื่อเรียนรู้ สมองถึงจะรับภาพได้ชัด และเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์
...
"ช่วงประมาณ 10 ปีแรกของชีวิตเป็นช่วงที่สมองเด็กเปราะบาง สมองต้องการภาพที่คมชัดเป็นตัวกระตุ้นพัฒนาการของระบบการมองเห็นตามปกติ หากมีอะไรก็ตามไปกีดขวางการพัฒนาการการมองเห็นของเด็กในช่วงนี้ สมองก็จะไม่สามารถพัฒนาระบบการมองเห็นให้สมบูรณ์ ทำให้ตามองไม่ชัด และเกิดโรคตาขี้เกียจนั่นเอง"
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคตาขี้เกียจ
โรคตาขี้เกียจมักจะเกิดในวัยเด็กตั้งแต่ 0-10 ปีแรก ซึ่งเป็นช่วงที่สมองที่เกี่ยวกับการมองเห็นเปราะบางและกำลังพัฒนา โดยสาเหตุหลักที่ทำให้เด็กเกิดโรคตาขี้เกียจ ได้แก่
1. โรคตาขี้เกียจที่เกิดจากความผิดปกติของสายตา
เด็กที่มีภาวะสายตาผิดปกติ เช่น สั้น ยาว เอียง ที่ไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งจะทำให้สมองรับแต่ภาพเบลอ สมองรับรู้ว่ามองเห็นชัดสุดได้แค่นี้ และไม่พัฒนาต่อ ซึ่งอาจจะผิดปกติแค่ตาข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ โดยเฉพาะอาการสายตาสั้นข้างเดียว หรือยาวข้างเดียว อาการเหล่านี้ผู้ปกครองอาจจะไม่รู้เลย เพราะเด็กๆ จะใช้ตาข้างที่มองเห็นชัดมองเป็นหลัก ไม่แสดงอาการว่ามองไม่ชัด เมื่อมาพบหมอก็พบว่าค่าสายตาผิดปกติ ต้องได้รับการรักษา
2. โรคตาขี้เกียจที่เกิดจากตาเข
หลายคนอาจจะเข้าใจผิดว่า โรคตาเข คือ โรคตาขี้เกียจ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ตาขี้เกียจคืออาการมองไม่ชัด เกิดจากสมองพัฒนาได้ไม่สมบูรณ์ แต่ตาเขคือตามองไม่ตรง เขเข้า หรือเขออก คนละโรคกัน แต่มีความสัมพันธ์กัน คือคนที่เป็นโรคตาเขมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นตาขี้เกียจได้
3. ตาขี้เกียจที่เกิดจากการบดบังแสงที่เข้าสู่จอตา
สาเหตุนี้จะเป็นชนิดที่พบน้อยที่สุด แต่มีความรุนแรงและรักษายากมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น เด็กมีหนังตาตกมากจนบังแสงให้เข้าสู่ตาได้ไม่เต็มที่ หรือเด็กมีต้อกระจกขุ่นๆ บังแสงไม่ให้เข้าสู่ตาได้ตามปกติ
ความเสี่ยงอื่นๆ ในการเกิดตาขี้เกียจ ได้แก่ การคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวน้อยกว่าอายุครรภ์ หรือพัฒนาการของเด็กช้า ญาติสายตรงเป็นตาขี้เกียจ และมารดาสูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์ขณะตั้งครรภ์ เป็นต้น
การรักษาโรคตาขี้เกียจในเด็ก
หลักๆ การรักษาเราจะไม่ได้ใช้ยา ซึ่งหมอจะต้องดูอย่างละเอียดก่อนว่าคนไข้เป็นโรคตาขี้เกียจจริงๆ หรือไม่ การวินิจฉัยเราดู 2 อย่าง คือ ตรวจระดับการมองเห็น และการหาปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคตาขี้เกียจ
สำหรับการตรวจระดับการมองเห็นนั้น เราต้องตรวจเพื่อให้รู้ว่าเด็กเป็นโรคตาขี้เกียจจริงหรือไม่ เนื่องจากพ่อแม่บางรายคิดว่าลูกเป็นโรคดังกล่าว แต่จริงๆ แล้วไม่ได้เป็น ถัดมาหากพบว่าเป็นโรคตาขี้เกียจ ก็ดูว่าเป็นตาเดียวหรือเป็นทั้งสองข้าง
จากนั้นก็จะมาดูว่ามีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคนี้ไหม เช่น หนังตาตก ก็ไปผ่าตัดหนังตาตกให้เรียบร้อย หรือถ้าเป็นต้อกระจกก็ต้องไปผ่าตัดให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นก็จะเริ่มรักษาตาขี้เกียจ
การรักษาโรคตาขี้เกียจ หากตรวจพบว่ามาจากสายตาสั้น ยาว หรือสายตาเอียง ถ้ามีความจำเป็นต้องให้แว่น เราก็ต้องหาแว่นที่ดีที่สุดให้กับเด็ก จากนั้นก็จะมาดูว่าอาการตาขี้เกียจอยู่ในระดับไหน เช่น น้อย กลาง หรือมาก วิธีการรักษาที่เราเห็นส่วนใหญ่ คือ ถ้าเป็นตาขี้เกียจข้างขวา เราก็จะปิดตาด้านซ้าย เพื่อให้ตาข้างขวาที่ขี้เกียจ หรือข้างที่สมองพัฒนาได้ช้า ได้ใช้งานมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีเราสายตาสั้นมากข้างซ้าย และมีตาขี้เกียจร่วมด้วย โดยตาข้างขวามองได้ปกติ เราก็จะใช้ตาข้างขวาทำงานมองภาพต่างๆ เราก็แก้ด้วยการปิดตาข้างที่ดี เพื่อให้ข้างที่ขี้เกียจได้ใช้งานมากขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอยู่บนการดูแลของคุณหมอ ถ้าปิดเยอะมากไป ในบางกรณีก็อาจจะส่งผลเสียก็ได้ หรือการหยุดปิดตาที่ไม่เหมาะสมก็อาจจะทำให้เกิดตาขี้เกียจกลับมาเป็นซ้ำได้
อย่างไรก็ตาม โรคตาขี้เกียจมีโอกาสกลับมาเกิดซ้ำได้ถ้ารักษาไม่ถูกวิธี และหากรีบมาทำการรักษาตั้งแต่อายุน้อย และได้รับการรักษาจากแพทย์อย่างเหมาะสม ก็สามารถหายขาดได้
ส่วนระยะเวลารักษาตาขี้เกียจนานหรือไม่นั้น ถ้าเป็นเด็กเจอเร็วจะรักษาหายได้เร็ว ในเคสของหมอ หากเป็นเด็กตั้งแต่อายุ 6-8 เดือน บางเคสปิดตาแค่ไม่กี่เดือนก็หายแล้ว แต่ถ้าเด็กอายุ 7-8 ขวบ อาจจะต้องปิดกันหลายเดือนหรือเป็นปี เพราะเด็กที่อายุน้อยๆ สมองพัฒนาได้เร็วมากกว่า โอกาสก็หายไว แต่ถ้าในเด็กวัยโตขึ้นมาหน่อย สมองพัฒนาได้ไม่เร็วเท่าเด็กเล็กๆ ก็จะดีขึ้น แต่ไม่เท่าเด็กเล็ก โรคตาขี้เกียจยิ่งเจอเร็ว รีบรักษาตั้งแต่เด็ก ก็จะมีโอกาสหายขาดได้มาก
"ส่วนใหญ่โรคตาขี้เกียจมีทางรักษาได้ ไม่จำกัดว่าจะรักษาได้เฉพาะเด็กเล็กเท่านั้น หมอไม่อยากให้เข้าใจผิดว่าโตแล้วจะรักษาไม่ได้ จึงอยากแนะนำให้มาปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยและหาสาเหตุทุกครั้ง เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วย"
สังเกตโรคตาขี้เกียจในเด็ก
หมออยากจะแนะนำให้มีการตรวจคัดกรองการมองเห็นของเด็กทุกคนก่อนเข้าเรียน หรือก่อนเข้าอนุบาล เด็กๆ ควรได้รับการตรวจสายตาก่อน เพื่อดูว่าการมองเห็นปกติหรือไม่ แต่ถ้ายังไม่ได้มาตรวจคัดกรอง ผู้ปกครองก็สามารถเฝ้าสังเกตเด็กที่มีพัฒนาการมองเห็นปกติตามวัย ได้ดังนี้
- แรกเกิดถึง 3 เดือนแรก ควรกะพริบตาตอบสนองต่อแสงจ้าได้
- อายุ 3 เดือน เริ่มจ้องมอง ซึ่งมองหน้าแม่ได้ และมองตามสิ่งของ หรือของเล่นได้นิดหน่อย
- อายุ 6 เดือน การจ้องมอง และการมองตามสิ่งของในวัยนี้จะทำได้ดีมาก แต่ถ้าสายตาเลื่อนลอย ตาลอยไม่สบตา ไม่มองตามการเคลื่อนไหวของวัตถุ แนะนำให้มาพบหมอตาจะดีที่สุด
- เด็กที่สื่อสารได้ อาจจะบอกผู้ปกครองว่ามองกระดานไม่ชัด เวลามองต้องเดินเข้าไปใกล้ๆ ต้องหยีตามอง เด็กในวัยที่สื่อสารได้นี้ควรมาตรวจคัดกรองการมองเห็น เพื่อตรวจหาอาการผิดปกติของค่าสายตา
- ผู้ปกครองสังเกตว่าลูกมีตาเหล่ ตาเข หรือตามองไม่ตรง แนะนำให้รีบมาพบหมอทันที
สายตาสั้นในเด็กที่ผู้ปกครองไม่ควรละเลย
อย่างที่เรารู้กันว่าสายตาสั้นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคสายตาขี้เกียจในวัยเด็ก โดย มีงานวิจัยพบว่าในอีก 30 ปีข้างหน้า ประชากรประมาณครึ่งโลก หรือคิดเป็นประมาณ 50% ของจำนวนประชากรนั้น จะมีภาวะสายตาสั้น
ส่วนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็คือแถบประเทศไทยของเรา จะมีประชากรสายตาสั้นเป็นอันดับที่ 2 รองจากเอเชียตะวันออก ที่คาดว่าประชากรกว่า 70% จะสายตาสั้น จากสถิติและการคาดการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่ามีความน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะในเด็กที่สายตาสั้น ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเด็กๆ จะมีโอกาสเป็นโรคสายตาขี้เกียจมากขึ้น ถ้าหากเรายังไม่มีการตรวจคัดกรองที่ดี
ยกตัวอย่างเช่น เด็กก่อนวัยเรียน ต้องมีการตรวจคัดกรองสายตา ซึ่งถ้าพบว่ามีสายตาสั้นยาว หรือสายตาเอียง เราให้แว่นเขาก่อน ก็จะช่วยชะลอและป้องกันโรคสายตาขี้เกียจได้ และเราพบว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว จะให้ความสำคัญกับการตรวจคัดกรองในเด็กเป็นอย่างมาก โดยระบุไว้เลยว่าเด็กควรจะต้องได้รับการตรวจคัดกรองสายตาก่อนเข้าเรียนอย่างน้อยหนึ่งครั้ง
โดยศูนย์จักษุ โรงพยาบาลพระรามเก้า มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านตาเด็กหลายท่าน ซึ่งการคัดกรองการตรวจนั้น หากพบว่าคนไข้เป็นเด็กเล็กๆ ก็จะส่งต่อมาให้พบกับคุณหมอที่เชี่ยวชาญการตรวจรักษาเด็กเลย
สิ่งแรกที่หมอจะต้องทำคือการตรวจประเมินเบื้องต้นว่าเด็กแต่ละคนมีการมองเห็นอย่างไรบ้าง ซึ่งเรามีทั้งเครื่องมือที่ทันสมัย และบุคลากรที่เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน โดยเฉพาะในเด็กเล็กๆ ที่ยังสื่อสารได้ไม่ดีนัก เราก็จะให้ความสำคัญในด้านนี้
พญ.ณัฐฐิญา กล่าวอีกว่า ข้อสำคัญอีกอย่างสำหรับเด็กเล็ก โดยเฉพาะเด็กที่อายุน้อยกว่า 13 ปี หมออยากแนะนำว่าก่อนที่เด็กๆ จะได้แว่นสายตาสักอัน อยากให้มาพบหมอตาเสียก่อน เพราะว่าการให้เด็กไปวัดสายตาก่อนจะที่ตัดแว่น โดยที่ไม่เจอหมอตาก่อน มีโอกาสจะได้ค่าสายตาที่ไม่ถูกต้องได้
ยกตัวอย่างเช่น หากเราพาเด็กๆ ไปวัดค่าสายตาตามร้านแว่นทั่วไป มีโอกาสสูงมากที่จะวัดค่าสายตาที่เกินจริง เนื่องจากเด็กในวัย 0-13 ปี มีความสามารถในการเพ่งสูงมาก จนทำให้ค่าสายตาที่เครื่องตรวจวัดมามีค่าผิดปกติจากความเป็นจริงได้
"หมออยากแนะนำให้ผู้ปกครองพาเด็กๆ มาตรวจคัดกรองสายตาก่อน โดยเฉพาะถ้าจะต้องตัดแว่นอันแรกในชีวิต ซึ่งหมอจะต้องดูก่อนว่าเด็กคนนี้มีความจำเป็นต้องหยอดยาเพื่อวัดค่าสายตาหรือไม่ เคยมีเคสหนึ่งที่หมอทำการตรวจรักษา เด็กไปตรวจมานอก รพ. พบว่าสายตาสั้น 500 กว่า แต่เมื่อทำการหยอดยาตรวจค่าสายตา ได้รับการตรวจรักษาที่เหมาะสมไป ก็พบว่าเด็กสายตาไม่สั้นเลย หมายความว่าเด็กคนนี้จริงๆ แล้วไม่ได้มีสายตาสั้นและไม่ต้องใส่แว่น"
เด็กติดจอ สายตาไม่ปกติ อาจทำให้ตาขี้เกียจ สมาธิสั้นได้
พญ.ณัฐฐิญา ทิ้งท้ายว่า หมออยากแนะนำเรื่องการงดการใช้จอเด็กในที่อายุน้อยกว่า 2 ขวบ แนะนำให้งดการใช้หน้าจอ ไม่ว่าจะเป็นทีวี สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ซึ่งเราควรไปเสริมพัฒนาการในด้านอื่นๆ แทนการใช้หน้าจอดิจิทัล เพราะปัจจัยเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลแค่สายตาเท่านั้น แต่ยังส่งไปยังการควบคุมอารมณ์และสมาธิของเด็กด้วย
อย่างไรก็ตาม ภาวะสายตาสั้นที่พบมากในปัจจุบันและอนาคตนั้น มีปัจจัยเสี่ยงเกิดจาก
1. การใช้สายตาระยะใกล้ เช่น การดูหนังสือระยะใกล้ดวงตาเกินกว่า 30 เซนติเมตร
2. การมีเวลาออกมาเจอแสงแดดน้อย หรือ Time Outdoor น้อย เราจะพบว่าเด็กสมัยนี้ โดยเฉพาะช่วงโควิดที่ผ่านมา เด็กๆ มีกิจกรรมนอกบ้านลดลง เช่น ออกมาวิ่ง ออกมาทำกิจกรรมนอกตัวบ้านลดลง ไม่ค่อยได้เจอแสงแดดเหมือนแต่เดิม ซึ่งการเจอแสงแดดมีข้อดีคือจะทำให้สารเคมีในลูกตามีการเปลี่ยนแปลง และสามารถชะลอให้เกิดสายตาสั้นได้
3. สายตาสั้นที่เกิดจากกรรมพันธุ์ เช่น พ่อแม่มีสายตาสั้น
4. ระดับการศึกษาที่สูงขึ้น จะส่งผลให้สายตาสั้นมากขึ้น
"หากเด็กๆ มีกิจกรรมนอกบ้านตามวัยแบบที่ควรจะเป็น มีการใช้จอน้อยลง ลดใช้จอใกล้ๆ นอกจากจะช่วยลดอาการค่าสายตาผิดปกติแล้ว ยังช่วยลดโอกาสการเกิดตาขี้เกียจได้ด้วย ที่สำคัญยังจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ที่สมวัย และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดสมาธิสั้นในเด็กได้อีกด้วย"