กรมควบคุมโรค เผยข้อเท็จจริง ผลกระทบของวัคซีนโควิด-19 และข้อมูลการเฝ้าระวังเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ที่เกิดหลังได้รับวัคซีน พร้อมขอให้ประชาชนมั่นใจถึงความปลอดภัย

วันที่ 17 มกราคม 2567 มีรายงานว่า กรมควบคุมโรค ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่อง ผลกระทบของวัคซีนโควิด-19 และข้อมูลการเฝ้าระวังเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ที่เกิดภายหลังการได้รับวัคซีน โดยระบุว่า สืบเนื่องจากการเผยแพร่ข้อความทางสื่อออนไลน์ เรื่อง ผลกระทบของวัคซีนโควิด-19 และมีข้อมูลที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับระบบการเฝ้าระวังเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับวัคซีน

ส่งผลให้ประชาชนบางส่วนเกิดความสับสน และไม่มั่นใจต่อระบบการเฝ้าระวังฯ ของประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขได้สั่งการให้ กรมควบคุมโรค ตรวจสอบ และหารือร่วมกับสถาบันวัคซีนแห่งชาติ และคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญประเมินเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ จากการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค (AEFI) เพื่อทบทวนข้อมูลวิชาการ ตลอดจนคำแนะนำล่าสุดขององค์การอนามัยโลก เกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 จึงขอชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้

ปัจจุบันประเทศต่างๆ ทั่วโลก มีการฉีดวัคซีนโควิดแล้วมากกว่า 13,000 ล้านโดส ข้อมูลวิชาการยืนยันว่าวัคซีนดังกล่าว สามารถป้องกันการป่วยหนัก และเสียชีวิตได้ โดยประเทศไทยเริ่มนำวัคซีนโควิด-19 มาฉีดให้กับประชาชน ตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ภายใต้คำแนะนำของคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆ ที่ให้คำแนะนำการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทยบนพื้นฐานข้อมูลการศึกษาตามหลักวิทยาศาสตร์

ซึ่งวัคซีนโควิดทุกชนิดที่ใช้ในประเทศไทย จะต้องผ่านกระบวนการรับรองประสิทธิภาพ และความปลอดภัยจากองค์การอนามัยโลก และจะต้องได้รับการขึ้นทะเบียน โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และมีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ดำเนินการตรวจรับรองรุ่นการผลิต (lot release) สำหรับวัคซีนทุกๆ ลอต เพื่อควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์

...

และให้เกิดความมั่นใจด้านความปลอดภัยสูงสุด ก่อนนำไปให้บริการประชาชน ตลอดจนมีระบบติดตาม และระบบการเฝ้าระวังเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ภายหลังได้รับวัคซีน ตามหลักมาตรฐานการดำเนินงานด้านการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค

ในประเทศไทย ระบบการเฝ้าระวังเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ภายหลังได้รับวัคซีนต่างๆ เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2540 และกระทรวงสาธารณสุข มอบหมายกรมควบคุมโรค เพิ่มระบบการเฝ้าระวังเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ที่เกิดขึ้นหลังได้รับวัคซีนโควิด ตั้งแต่ต้นปี 2564 (โดยระบบจะรับรายงานทุกเหตุการณ์ ทั้งที่อาจจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวข้องกับการได้รับวัคซีน เพื่อให้เกิดการตรวจสอบอย่างครบถ้วนมากที่สุด)

ซึ่งระบบการเฝ้าระวังฯ ดำเนินการโดยคณะผู้เชี่ยวชาญระดับชาติ จากหลายสาขาที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณารายงาน เพื่อให้ความเห็นว่าเกิดขึ้นจากวัคซีนหรือไม่ หรือมีปัจจัยอื่นใดที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องใช้ข้อมูลรอบด้าน ตลอดจนผลตรวจด้านการแพทย์มาพิจารณาร่วมด้วย เพื่อให้มีหลักฐานเพียงพอในการให้การวินิจฉัยได้แน่ชัดถึงสาเหตุทุกราย

เมื่อกองระบาดวิทยาได้รับรายงานผู้ป่วยที่มีอาการร้ายแรง หรือเสียชีวิตภายหลังได้รับวัคซีน บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ จะดำเนินการสอบสวนโรค และนำข้อมูลดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาสาเหตุและความเกี่ยวข้องกับการได้รับวัคซีน

โดยมีคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญประเมินเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ จากการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค (AEFI) ซึ่งประกอบไปด้วยอาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันต่างๆ หลายสาขาที่เกี่ยวข้อง เช่น กุมารแพทย์ อายุรแพทย์สาขาโรคติดเชื้อ โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบประสาทและสมอง โลหิตวิทยา ภูมิคุ้มกันวิทยา นิติเวช ผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีน เป็นต้น ประชุมพิจารณาร่วมกัน

โดยในช่วงการฉีดวัคซีนโควิดตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปัจจุบัน มีการฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 147 ล้านโดสในประเทศไทย มีการศึกษาในประเทศไทย คาดประมาณว่าในช่วง 2 ปีแรกของสถานการณ์การระบาด วัคซีนสามารถป้องกันการป่วยรุนแรง และเสียชีวิตจากโควิดได้หลายแสนราย ซึ่งในภาพรวมเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ที่เกิดภายหลังได้รับวัคซีนโควิด มีอุบัติการณ์ต่ำเช่นเดียวกับวัคซีนชนิดอื่นๆ

โดยในระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2564 - 31 ธันวาคม 2566 มีรายงานอุบัติการณ์ไม่พึงประสงค์กรณีร้ายแรง 5.09 รายต่อแสนโดส และเมื่อพิจารณารายที่เสียชีวิต 1,797 ราย คณะกรรมการฯ พิจารณาแล้วพบว่าส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิด มีเพียง 5 ราย ที่มีความเกี่ยวข้องกับวัคซีน ได้แก่ การเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันร่วมกับเกล็ดเลือดต่ำ 2 ราย อาการแพ้รุนแรง 2 ราย และ Stevens-Johnson Syndrome 1 ราย ซึ่งคิดเป็นอุบัติการณ์เสียชีวิตที่ต่ำกว่าหนึ่งในล้านโดส

นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุข ยังติดตามเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ในระยะยาว คือการเฝ้าระวังอุบัติการณ์โรคหรือภาวะทางสุขภาพในประเด็น ที่สำคัญตามข้อแนะนำขององค์การอนามัยโลก เช่น ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน โรคหลอดเลือดสมอง โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ยังไม่พบหลักฐาน ที่สามารถยืนยันได้ชัดเจนว่ามีความเกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิด ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาจำนวนมากในหลายประเทศที่ยืนยันว่า วัคซีนโควิดได้ปกป้องสุขภาพ และชีวิตของผู้คนที่รับวัคซีนไว้เป็นจำนวนหลายล้านคน

และการฉีดวัคซีนโควิด ยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะลองโควิด (Long COVID) ภายหลังจากการติดเชื้อ โดยการศึกษาในกลุ่มประชากรขนาดใหญ่ พบว่าวัคซีนโควิด 19 สามารถลดความเสี่ยงที่จะเกิดลองโควิดทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ได้ 40-80% เทียบกับการไม่ได้รับวัคซีน (2, 3)

กรมควบคุมโรคขอให้ประชาชนมั่นใจว่า ประเทศไทยมีระบบการติดตามอาการไม่พึงประสงค์ ของวัคซีนโควิด ที่ดำเนินการตามมาตรฐานสากล เพื่อประเมินความปลอดภัย และประสิทธิภาพของวัคซีน และกรมควบคุมโรคตระหนักถึงความสนใจ หรือความกังวลของประชาชน ในเรื่องข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับวัคซีนโควิด จึงขอให้ติดตามรายงานจากกระทรวงสาธารณสุข เพื่อรับทราบข้อมูลที่ถูกต้องเผยแพร่ในเว็บไซต์ของกรมควบคุมโรค.