คุยกับจักษุแพทย์ พารู้จัก "เบาหวานขึ้นตา" แนะคนไข้ตรวจตาเป็นประจำ รู้เร็ว รักษาไว หากปล่อยไว้นานอาจสูญเสียการมองเห็น 

เป็นที่ทราบกันดีว่า "โรคเบาหวาน" เป็นโรคที่ไม่หายขาด และผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ต้องดูแลรักษาสุขภาพอยู่ตลอดเวลา เราอาจจะเคยได้ยินมาว่า ต้อง "คุมเบาหวานให้ดี" เพราะถ้าไม่ได้ดูแลรักษาต่อเนื่อง จะทำให้เกิดภาวะโรคแทรกซ้อนที่ร้ายแรง และอาจอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ 

ทั้งนี้ จากข้อมูลกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 300,000 คนต่อปี และในปี 2565 ที่ผ่านมามีผู้ป่วยโรคเบาหวานสะสมจำนวน 3.3 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2564 มากถึง 1.5 แสนคน 

ขณะเดียวกัน ยังพบว่า 1 ใน 10 ของผู้ป่วยโรคเบาหวาน เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เกิดจากร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เพียงพอต่อความต้องการมากกว่า 90% ที่สำคัญประชาชนที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการตรวจคัดกรองโรคเบาหวานมากถึง 5 ล้านคน จากเป้าหมายทั่วประเทศ 22 ล้านคนอีกด้วย

นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคเบาหวานส่วนใหญ่มักจะมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะแผลติดเชื้อที่เท้าในผู้ป่วยเบาหวาน และภาวะเบาหวานขึ้นตา หรือที่วัยรุ่นเรียกจนกลายเป็นวลีติดปากว่า "หวานขึ้นตา หวานตัดขา" เมื่อเจออาหาร หรือขนมที่มีรสชาติหวานจัดนั่นเอง

...

ภาวะเบาหวานขึ้นตา ภัยเงียบต้องควรระวัง

นพ.ศิริพงศ์ สินประจักษ์ผล จักษุแพทย์ จากโรงพยาบาลพระรามเก้า อธิบายว่า เราเคยได้ยินคำว่าผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานอาจจะต้องระวังเบาหวานขึ้นตา และการเป็นแผลที่เท้า ทำให้เกิดปัจจัยเสี่ยงจนต้องตัดขานั้น แท้จริงแล้วทั้งสองแบบถือเป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวาน

เนื่องจากเบาหวานส่งผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ ทำให้หลอดเลือดเล็กๆ ที่กระจายอยู่ทั่วร่างกายของเรามีปัญหา ตำแหน่งที่มีความหนาแน่นของหลอดเลือดเป็นจำนวนมาก เช่น ดวงตา ไต และบริเวณปลายมือ ปลายเท้า ซึ่งตำแหน่งอวัยวะพวกนี้จึงแสดงความผิดปกติให้เราเห็นได้ก่อน 

ถ้าเป็นปัญหาที่ปลายเท้า คนไข้ก็จะเกิดอาการขาดเลือดของเนื้อเยื่อ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดแผลเน่าตาย นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเป็นเบาหวานถึงต้องตัดขา ส่วนที่ไตจะมีเกิดภาวะไตเสื่อม 

สุดท้ายเลยคือ ที่ดวงตา ถือเป็นตำแหน่งที่มีหลอดเลือดเล็กๆ อยู่เป็นจำนวนมาก ฉะนั้นเมื่อเป็นเบาหวานก็จะมีการขาดเลือดของเนื้อเยื่อที่จอตา ทำให้เกิดอาการเลือดออกผิดปกติ จอตาบวม ถ้ารุนแรงมากๆ ก็เกิดภาวะตาบอดได้ 

เบาหวานขึ้นตาจะรู้ได้อย่างไร

สำหรับ "อาการเบาหวานขึ้นตา" จะเกิดขึ้นในกลุ่มของคนไข้ที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวาน สำหรับอาการเบื้องต้นของเบาหวานขึ้นตานั้น ส่วนใหญ่คนไข้จะไม่มีความผิดปกติในการมองเห็น นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมจักษุแพทย์ถึงแนะนำให้คนไข้ที่เป็นเบาหวานตรวจตาเป็นประจำเพื่อเป็นการสกรีนหาความผิดปกติตั้งแต่ระยะแรกเพื่อจะได้ทำการรักษาในช่วงเริ่มต้น ซึ่งจะเห็นผลดีกว่าปล่อยไว้แล้วค่อยมารักษาที่หลัง

หากคนไข้เบาหวานปล่อยทิ้งไว้ และไม่ได้ทำการตรวจรักษา ระยะแรกจะมีอาการตาพร่ามัว หรือการมองเห็นเริ่มผิดปกติ เช่น ตาพร่ามัว เห็นเป็นเงาบังตรงกลาง เห็นภาพลักษณะบิดเบี้ยว ซึ่งอาจเกิดจากจุดรับภาพบวม 

ส่วนรายที่รุนแรงขึ้นไปอีก หรือปล่อยไว้นานจนทำให้ "เบาหวานขึ้นตา" ส่งผลให้เส้นเลือดในตามีความผิดปกติ อาจเกิดพังผืด จอตาลอก เลือดออกเป็นจำนวนมากในวุ้นตาก็อาจจะเป็นตามืดได้เหมือนกัน และอาการเหล่านี้อาจจะทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ 

การรักษาภาวะเบาหวานขึ้นตา 

นพ.ศิริพงศ์ กล่าวว่า การรักษาจะขึ้นอยู่กับระยะของโรคที่คนไข้เป็น แต่เบื้องต้นถ้าคนไข้ที่เริ่มมีอาการ "เบาหวานขึ้นตา" สิ่งสำคัญที่สุด คือ การรักษาที่ต้นเหตุ โดยเราก็จะเน้นเรื่องการคุมระดับน้ำตาลในเลือด 

นอกจากนี้ เราพบว่าในคนไข้เบาหวานขึ้นตา หากมีภาวะแทรกซ้อนร่วมด้วย เช่น มีโรคความดันโลหิตสูง มีไขมันในเลือดสูง ก็จำเป็นต้องรักษาโรคดังกล่าวควบคู่กันไปด้วย เพราะถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เป็นโรคเบาหวานขึ้นตาได้มากขึ้น 

ทั้งนี้ หมอจะแนะนำให้ปรับเรื่องไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิต นอกจากการควบคุมอาหารแล้ว หากมีการสูบบุหรี่ก็จะต้องให้หยุดในทันที เพราะบุหรี่จะทำให้หลอดเลือดเสียหายมากขึ้น เสี่ยงให้เกิดโรคเบาหวานที่ตามากขึ้น  

แต่ถ้าคนไข้มีภาวะเบาหวานขึ้นตาที่เป็นมากในระดับหนึ่ง อย่างเช่น เริ่มมีเลือดออกในลูกตาเยอะขึ้น เราอาจจะต้องมีการรักษาด้วยการยิงเลเซอร์ โดยจะยิงเลเซอร์ไปที่จอประสาทตาบริเวณรอบนอก เพื่อลดปริมาณออกซิเจนของเนื้อเยื่อในลูกตา และเป็นการลดการหลั่งสารที่กระตุ้นให้เกิดเส้นเลือดผิดปกติจากเบาหวานขึ้นตา  

ถ้าเกิดคนไข้เกิดมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ อย่างเช่น มีจอประสาทตาบวมร่วมด้วย การรักษาในปัจจุบันจะฉีดยาเข้าที่น้ำวุ้นในตา เพื่อลดการบวมของเนื้อเยื่อจอตา 

กรณีที่หนักกว่านั้น เช่น ปล่อยให้มีพังผืดขึ้น ดึงรั้งจอตาให้ลอก หรือว่ามีเลือดออกในวุ้นตาปริมาณมาก อาจจะต้องรักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งการเลือกวิธีการรักษาจะพิจารณาตามระยะของโรคที่เป็น และขึ้นอยู่กับคนไข้ในแต่ละราย เนื่องจากคนไข้บางรายจะต้องมีการรักษามากกว่าหนึ่งอย่างร่วมกัน เช่น มีการฉีดยาร่วมกับการเลเซอร์ หรือการฉีดยาร่วมกับผ่าตัด 

อย่างไรก็ตาม หากคนไข้เข้ามารักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ในรายที่ยังเป็นไม่รุนแรง หรือเป็นแค่เรื่องของจอตาบวมจากเบาหวานขึ้นตาไม่มากนัก การใช้ยาฉีดรักษา ถือว่าได้ประสิทธิภาพที่ค่อนข้างดี การฟื้นตัวของการมองเห็นต่างๆ จะค่อยๆ ดีขึ้น

แต่ว่ากรณีถ้ามีอาการขึ้นมาอีกหน่อย มีเลือดออกในลูกตามาก พวกนี้การรักษาก็จะต้องใช้หลายวิธีรักษาร่วมกัน ซึ่งจะต้องอาศัยการรักษาอย่างต่อเนื่อง และจะต้องมาโรงพยาบาลทุกเดือน

ถ้าเกิดไปถึงขั้นที่รุนแรง มีภาวะเบาหวานขึ้นตามากๆ มีเลือดออกในลูกตาในปริมาณเยอะ เริ่มจะมีพังผืดดึงรั้งที่จอตา ซึ่งคนไข้ได้รับการรักษาโดยเลเซอร์มาส่วนหนึ่ง แต่ไม่สามารถหยุดตัวโรคได้ สุดท้ายเลยคนไข้ก็จะได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัด 

โดยเราก็จะผ่าตัดเข้าไปล้างเอาตัวเลือด ตัดเอาตัววุ้นตาที่มีเลือดออกทั้งหมด แล้ว จากนั้นก็ลอกตัวพังผืดออก ทำการเลเซอร์ให้เต็มพื้นที่ เมื่อผ่าตัดเสร็จสิ้นคนไข้กลับมารับการตรวจอย่างสม่ำเสมอ ก็ทำให้โรคเบาหวานขึ้นตาสงบลงได้ 

"เราทราบอยู่แล้วว่า เบาหวานเป็นแล้วไม่หายขาด แต่ใช้ยาควบคุมน้ำตาลในเลือดให้คนไข้มีชีวิตใกล้เคียงกับปกติที่สุด ที่ตาก็เหมือนกัน จุดประสงค์หลักคือเราจะพยายามหยุดตัวโรคไม่ให้มันเป็นมากขึ้น รักษาการมองเห็นที่ยังเหลืออยู่ไม่ให้แย่ลง เพราะฉะนั้นคนไข้ที่ผ่านการรักษาไปแล้ว โรคสงบแล้ว ยังจำเป็นที่จะต้องมีการตรวจติดตามอยู่เป็นระยะ"

โรคแทรกซ้อนที่มากับภาวะเบาหวานขึ้นตา 

นพ.ศิริพงศ์ กล่าวอีกว่า โรคเบาหวานไม่ได้ส่งผลกับจอประสาทตาอย่างเดียว แต่เบาหวานยังเพิ่มอุบัติการณ์การเกิดต้อกระจกในคนไข้ ทำให้คนไข้มีโอกาสเป็นต้อกระจกได้เร็วขึ้น และอาจจะมีภาวะเรื่องของต้อหินแทรกซ้อนขึ้นมาด้วย เท่ากับเพิ่มโอกาสให้คนไข้สูญเสียการมองเห็น หรือตาบอดได้อีกด้วย 

นอกจากนี้ คนไข้ที่เป็นเบาหวานเซลล์ หรือภูมิคุ้มกันก็ไม่ค่อยปกติ ในกรณีถ้าเกิดมีแผลบริเวณดวงตา หรือว่าผิวกระจกตาต่างๆ จะเพิ่มโอกาสที่จะเกิดการติดเชื้อบริเวณกระจกตา หรือตามแผลที่เรามีการผ่าตัดมากกว่าทั่วไปด้วย เพราะฉะนั้นเรียกได้ว่า เบาหวานส่งผลกระทบกับโดยรวมของดวงตาทั้งหมด

นวัตกรรมการรักษาเบาหวานขึ้นตา

ปัจจุบันเครื่องมือการตรวจวินิจฉัยโรคที่เกี่ยวข้องกับดวงตา ถือว่าพัฒนาไปมาก ยกตัวอย่างเช่น การคัดกรองผู้ป่วยเบาหวานขึ้นตา แต่เดิมจะมีการหยอดยาขยายม่านตา เพื่อตรวจจอตาอย่างละเอียด ซึ่งคนไข้บางรายอาจจะไม่สะดวกหยอดยาขยายม่านตา 

โดย โรงพยาบาลพระรามเก้า มีกล้องตรวจตารุ่นใหม่ที่สามารถถ่ายภาพ และต่อภาพให้เห็นพื้นที่จอตาประมาณ 200 องศา ซึ่งถือว่าเพียงพอในการวินิจฉัยโรค หากเทียบกับกล้องสมัยก่อนที่ถ่ายภาพจอตาได้แค่ 50 องศา ส่งผลให้ความไวในการตรวจรักษาอาจไม่เพียงพอ 

ขณะเดียวกัน เรื่องของตัวยารักษาคนไข้เบาหวานขึ้นตานั้นก็พัฒนาไปไกลพอสมควร ยาที่ใช้ถือว่ามีประสิทธิภาพมาก แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในช่วงระยะแรกๆ คือ คนไข้จำเป็นต้องได้รับยาทุกเดือนในช่วง 4-6 เดือนแรก โดยเราพบว่าโอกาสที่การมองเห็นจะฟื้นกลับมา ใกล้เคียงปกติสูงถึง 60-70% เลยทีเดียว 

หมั่นดูแลรักษาดวงตา

นพ.ศิริพงศ์ ยังได้ให้คำแนะนำการดูแลดวงตาสำหรับคนทั่วไปด้วยว่า ปัจจุบันเรามีการใช้เรื่องของหน้าจอเช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และทีวีเพิ่มขึ้นมากกว่าสมัยก่อน เราจะเห็นได้ชัดเลยว่า ผู้ที่ใช้สายตากับหน้าจอมากๆ จะมีการเพ่งต่อเนื่อง ทำให้เกิดภาวะสายตาสั้นได้มากกว่าปกติ หมอจึงอยากแนะนำ หากเราใช้จอประมาณ 1-2 ชั่วโมง อาจจะต้องมีการเบรก 5-10 นาที 

ช่วงระยะเวลาเบรกให้พยายามหาจุดโฟกัสไปที่ไกลๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อตาคลายตัวลง ก็จะช่วยลดการเกิดอาการเกร็งกล้ามเนื้อตา ลดการล้าของกล้ามเนื้อตา หรือช่วยลดการเกิดภาวะสายตาสั้นมากกว่าปกติ 

ขณะเดียวกัน หากเราใช้สายตานาน เพ่งหน้าจอนาน การกะพริบตาของเราจะลดลง พวกนี้ก็จะเกิดภาวะตาแห้งตามมา ส่วนใหญ่จะเกิดในคนทำงานที่ต้องใช้หน้าจอนานๆ ทั้งวัน วันละ 8 ชั่วโมงขึ้นไป หมอแนะนำให้หยอดน้ำตาเทียมเสริมระหว่างวัน ซึ่งจะช่วยให้ลดอาการตาแห้งได้  

สำหรับผู้ที่มีอาการตาแห้ง การทานอาหารที่มีกลุ่มโอเมก้า 3 หรือ Omega-3 ช่วยลดภาวะตาแห้งได้ และในกรณีที่มีภาวะที่เป็นโรคเฉพาะทางตา เช่น มีเรื่องของจุดรับภาพเสื่อมนั้น มีการศึกษาว่า การทานวิตามิน A กับวิตามิน C รวมถึงวิตามิน D และซิงค์ต่างๆ อาจจะช่วยชะลอเรื่องการเสื่อมที่จุดรับภาพ แต่ในกรณีถ้ายังไม่มีปัญหาเรื่องของจุดรับภาพเสื่อม การทานวิตามินอาจจะไม่ได้มีผลอะไรที่ชัดเจนมากนัก 

สุดท้ายเป็นเรื่องของการดูแลร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการนอนพักผ่อนที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการปรับอาหาร เช่น ถ้าเรารับประทานอาหารที่มีวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ เพียงพอต่อความต้องการก็จะช่วยเสริมและลดการเสื่อมของดวงตาได้ด้วยเช่นกัน.